พาราสาวะถี

ก่อนที่จะไปดูความเคลื่อนไหวเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา และเรื่องราวที่เกี่ยวข้องทั้งข่าวจริงข่าวปลอม ต้องแวะไปดูสถานการณ์ทางการเมือง เนื่องจากวันนี้ (13 ส.ค.) จะมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569


ก่อนที่จะไปดูความเคลื่อนไหวเรื่องชายแดนไทย-กัมพูชา และเรื่องราวที่เกี่ยวข้องทั้งข่าวจริงข่าวปลอม ต้องแวะไปดูสถานการณ์ทางการเมือง เนื่องจากวันนี้ (13 ส.ค.) จะมีการประชุมสภาผู้แทนราษฎรพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2569 ในวาระสองและสาม ไปจนถึงวันที่ 15 สิงหาคมนี้ ถือเป็นเรื่องสำคัญ เพราะมีการปล่อยข่าวมาว่า หลังจากที่ร่างกฎหมายงบประมาณผ่านสภา แพทองธาร ชินวัตร จะลาออกจากเก้าอี้นายกรัฐมนตรี

แน่นอนว่า ข่าวโคมลอยเช่นนี้ย่อมปราศจากข้อเท็จจริง ยืนยันแล้วจาก ภูมิธรรม เวชยชัย รักษาราชการแทนนายกฯ ซึ่งก็คือผู้จัดการรัฐบาลมาตั้งแต่ต้น แพทองธารไม่เคยพูดว่าจะลาออก เช่นเดียวกัน ไม่เคยมีแผนสำรองกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญตัดสินให้พ้นตำแหน่งผู้นำประเทศ ทุกอย่างว่ากันไปตามกระบวนการ จบแบบไหนก็แบบนั้น ไปว่ากันหน้างานเมื่อเหตุการณ์เกิดขึ้น สื่อไม่ต้องไปไล่ตามข่าวที่มีคนจุดกระแสทั้งที่ไม่เป็นความจริง สร้างความสับสน วุ่นวาย ไร้ประโยชน์

ส่วนการประชุมสภาหนนี้ ถือเป็นบทพิสูจน์การประสานงานของพรรคร่วมรัฐบาล โดยวิปที่ วิสุทธิ์ ไชยณรุณ นั่งประธานต้องคุมเสียงให้ได้ตั้งแต่ก่อนเริ่มประชุม จนสิ้นสุดการประชุม ว่ากันว่า เมื่อเป็นเรื่องงบประมาณ ปมสภาล่มหรือเสียงสส. ฝ่ายกุมอำนาจที่ปริ่มน้ำจะไม่มีปัญหา ที่น่าห่วง คงจะเป็นการทดสอบความแม่นยำในการคุมเกมของผู้ทำหน้าที่ประธานในระหว่างการประชุมมากกว่า เห็นได้จากช่วงสัปดาห์สองสัปดาห์ที่ผ่านมาว่า ฝ่ายค้านโดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทยเล่นเกมป่วนมาตลอด

ความแม่นในข้อบังคับการประชุม ระเบียบการประชุมสภา ผู้ทำหน้าที่รองประธานสภาทั้งคนที่ 1 และ 2 จากพรรคเพื่อไทย ไชยา พรหมา กับ ฉลาด ขามช่วง แม้ว่าจะอาวุโสทางด้านการเมือง จนได้รับความไว้วางใจ ต่างตอบแทนจากผู้ใหญ่ในพรรคให้มาทำหน้าที่ ยังต้องพิสูจน์ตัวเองให้เห็นว่าสามารถคุมเกมสภาได้ หากปล่อยให้ฝ่ายค้านโดยเฉพาะสองพี่น้อง ภราดร-กรวีร์ ปริศนานันทุล จากพรรคสีน้ำเงิน สร้างความปั่นป่วนซวนเซได้ ความน่าเชื่อถือของฝ่ายนิติบัญญัติก็จะถดถอยจนขาดความน่าเชื่อถือตามไปด้วย

อย่างไรก็ตาม พิจารณารอบด้านยังไม่เห็นปัจจัยที่จะทำให้กระบวนการพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณปี 2569 มีปัญหา ยิ่งในภาวะที่สถานการณ์ชายแดนตึงเครียด ยิ่งจำเป็นต้องเร่งพิจารณาเพื่อให้การเบิกจ่ายไม่ล่าช้า งบประมาณของกองทัพจากที่เคยถูกตรวจสอบเข้มข้น ยิ่งเป็นงบที่เกี่ยวกับการจัดซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ พอเกิดเหตุการณ์สู้รบ ทำให้พวกที่เคยมีท่าทีจริงจัง แข็งขันเป็นตัวขวางในเรื่องเหล่านี้ต้องถอนสมอไปโดยปริยาย ดังนั้น จึงมองไม่เห็นประเด็นที่ทำให้ทุกอย่างชักช้าโดยไม่จำเป็น

คู่ขนานกับการพิจารณากฎหมายงบประมาณ คือการประชุมสภาความมั่นคงแห่งชาติหรือสมช. ต้องจับตาทางกองทัพจะมีการเสนอให้ ยกเลิกศูนย์เฉพาะกิจบริหารสถานการณ์บริเวณชายแดนไทย-กัมพูชาหรือศก.ทบ. หรือไม่ หากเป็นไปเช่นนั้น ต้องยืนยันกันให้ได้ว่าทุกอย่างเข้าสู่ภาวะปกติแล้ว สามารถปล่อยมือให้ฝ่ายรัฐบาลชี้แจงเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นได้ในแต่ละช่วงเวลา ทันต่อการแถลงข่าวโกหกจากฝ่ายเขมร เพราะตั้งแต่เกิดสถานการณ์จะเห็นได้ว่า ฝ่ายการเมืองโต้ตอบช้ากว่าศัตรูหลายก้าว

ข้อมูลต่าง ๆ ที่สื่อสามารถใช้ยืนยัน หักล้างปมแถลงของเจ๊มาลี โฆษกกระทรวงกลาโหมกัมพูชา ต่างมาจากถ้อยแถลงของโฆษกกองทัพบก และโฆษกกองทัพไทย รวมทั้งโฆษกศก.ทบ.ที่ได้แถลงสรุปสถานการณ์ในแต่ละวัน ขณะที่บทบาทของโฆษกรัฐบาลเพิ่งมาทันเหตุการณ์ในระยะหลัง ในจังหวะที่ความรุนแรง และความสำคัญในการตอบโต้แทบจะลดน้อยถอยลงไปแล้ว นั่นจึงต้องชั่งใจกันให้ดีว่า ควรที่จะมีศูนย์เฉพาะกิจเพื่อใช้ในการช่วงชิงความได้เปรียบทางการข่าวกับอีกฝ่ายต่อไปหรือไม่

ประเด็นนี้บิ๊กอ้วนบอกแล้วว่า ยุบศก.ทบ.หรือไม่ จะเกิดจากกองทัพและฝ่ายข่าว รวมถึงการประเมินของหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง หากคิดว่าจบแล้วก็จบ ให้ดูจากตรงนั้น วันนี้ต้องยอมรับความจริงกัน แม้แต่ผลโพลแทบจะทุกสำนัก ชี้ไปในทิศทางเดียวกัน ความน่าเชื่อถือของกองทัพมีมากกว่ารัฐบาล การที่รักษาการนายกฯ บอกว่าให้รอฟังข่าวจริงจากรัฐบาล ที่ผ่านมามีแต่เฟคนิวส์ ต้องไปดูว่าข่าวปลอมมาจากฝ่ายไหน ฝั่งเขมรหรือฝ่ายไทย แล้วระยะเวลากว่าที่จะทำให้คนรับรู้ว่าจริงหรือโกหก ประชาชนพากันก่นด่าฝ่ายบริหารทำงานยืดยาด ไม่ทันฝ่ายศัตรู

รู้กันอยู่ว่า ทุกอย่างต้องการความถูกต้องไม่ได้เน้นถูกใจ แต่ต้องแยกเป็นสองส่วน เรื่องข้อมูลชี้แจงกับองค์กรระหว่างประเทศ หรือนานาชาติที่เป็นหลักสากลก็ดำเนินการไป ส่วนที่เป็นการตอบโต้ข่าวเท็จของโฆษกมาลี หรือข้อความที่โพสต์โดย ฮุน เซน หรือ ฮุน มาเนต จำเป็นที่ผู้มีอำนาจต้องสวนกลับในทันที ถ้าเกรงว่าภาพจะไม่ดีไม่งาม ก็ให้โฆษกที่เป็นฝ่ายการเมืองทำหน้าที่ แทบไม่ต้องจี้อะไรกันแล้ว ที่ผ่านมา ต้องยอมรับกันแต่โดยดี งานด้านการข่าวเพื่อตอบโต้คู่ขัดแย้งของฝ่ายรัฐบาลไม่เป็นโล้เป็นพาย

ภาพสะท้อนความอึดอัดมารยาททางการทูต หรือท่าทียึกยักชักช้าของรัฐบาล มองผ่านการแต่งตั้งโฆษกจิตอาสาของศก.ทบ.ที่ พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ รัฐมนตรีช่วยกลาโหม ดึงเอา ปนัดดา วงศ์ผู้ดี มาทำหน้าที่ เพื่อจะได้ตอบโต้โฆษกมาลีของเขมรได้แบบรวดเร็ว ทันใจ และสมน้ำสมเหนือ เพื่อให้ประเทศไทยเป็นฝ่ายที่ถือแต้มเหนือกว่า นี่ชี้ให้เห็นว่า ถ้ามัวแต่รอกระบวนการกว่าจะตอบโต้ข่าวเท็จจริงอีกฝ่าย กลายเป็นว่าเราตกเป็นฝ่ายเสียหาย และเสียเปรียบไปแล้ว ซึ่งทำให้เห็นว่า พอบิ๊กเล็กใช้วิธีการแบบนี้ อีกฝ่ายก็ระมัดระวังท่าทีในการนำเสนอข้อมูลมากขึ้น

ข่าวที่น่าติดตามอีกเรื่องหนึ่งเวลานี้คงหนีไม่พ้นปม พลโทบุญสิน พาดกลาง แม่ทัพภาคที่ 2 จะเกษียณสิ้นเดือนกันยายนนี้ ภายใต้สถานการณ์ที่ยังไม่แน่นอน มีการเรียกร้องให้ต่ออายุราชการออกไปก่อน แต่กองทัพคงไม่ทำ เพราะจะเสียระบบในการปกครอง ยิ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 26 ของ พลเอกพนา แคล้วปลอดทุกข์ ผู้บัญชาการบกด้วยแล้ว เรื่องแบบนี้ยิ่งต้องไม่เกิดขึ้น ว่ากันว่า คนที่จะมาทำหน้าที่บัญชาการการรบในพื้นที่แทน น่าจะเป็น พลตรีวีระยุทธ รักศิลป์ รองแม่ทัพภาคที่ 2 ซึ่งก็เป็นเตรียมทหารรุ่นที่ 26 เหมือนกัน แต่ก่อนจะไปถึงตรงนั้น เอาใจช่วยบิ๊กกุ้งจัดทัพรับมือกับเขมรในช่วงนี้ให้เข้มข้นกันดีกว่า

อรชุน

Back to top button