PCC ปักธงโตยั่งยืน ชู Smart Grid–EV รับเทรนด์พลังงานอนาคต พร้อมตุนแบ็กล็อก 3.5 พันลบ.

PCC เดินหน้ารุกตลาด Smart Grid พลังงานหมุนเวียน และ EV เร่งพัฒนาเทคโนโลยีและโซลูชันพลังงานอัจฉริยะ พร้อมขยายสู่ธุรกิจใหม่ หนุน Backlog แข็งแกร่ง 3,559 ล้านบาท รองรับรายได้ถึงปี 70 พร้อมฐานะการเงินแกร่ง D/E ต่ำเพียง 0.58 เท่า จ่ายปันผลจูงใจ Dividend Yield สูง 8.33%


นายอมร แดงโชติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พรีไซซ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ PCC เปิดเผยข้อมูลภาพรวมธุรกิจของบริษัทผ่านงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 15 สิงหาคม 2568 ผลการดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2568  บริษัทมีกำไรสุทธิ 168.27 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 93.57% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 86.93 ล้านบาท ผลดังกล่าวส่งผลให้งวด 6 เดือนแรกของปี 2568 มีกำไรสุทธิ 271.48 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 60.59% เมื่อเทียบกับงวดเดียวของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 169.05 ล้านบาท

ทั้งนี้ ปัจจัยหลักที่สนับสนุนการเติบโตของกำไรสุทธิ มาจากการบริหารต้นทุนและค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานอย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้กลุ่มบริษัทสามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรได้อย่างต่อเนื่อง แม้เผชิญกับความผันผวนของสภาวะเศรษฐกิจและการแข่งขันในอุตสาหกรรม

นายอมร กล่าวถึงวิสัยทัศน์การเติบโตในอนาคตว่า บริษัทมุ่งเน้นการต่อยอดศักยภาพในอุตสาหกรรมระบบโครงข่ายไฟฟ้าอัจฉริยะ (Smart Grid) ควบคู่กับการขยายเข้าสู่ธุรกิจใหม่อย่างต่อเนื่อง เพื่อสร้างการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน ทั้งยังสอดรับกับการเปลี่ยนแปลงของภาคพลังงานในประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียน

โดยโอกาสในการเติบโตของธุรกิจ Smart Grid มาจากแนวโน้มการบริหารจัดการพลังงาน (Energy Management) ที่จะมีบทบาทสำคัญยิ่งขึ้นภายใต้แผนพัฒนากำลังผลิตไฟฟ้า (PDP) ฉบับใหม่ ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มสัดส่วนพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy: RE) จาก 20% ในปี 2566 เป็น 51% ในอนาคต รวมถึงการขยายตัวของยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่ใช้พลังงานไฟฟ้าสูงสุดในช่วงเวลาเดียวกัน (Peak Load) จึงจำเป็นต้องมีระบบบริหารจัดการไฟฟ้าที่มีประสิทธิภาพรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้นอย่างมีเสถียรภาพ

เพื่อรองรับแนวโน้มดังกล่าว PCC ได้พัฒนาเทคโนโลยีและโซลูชันที่สำคัญในระบบโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงาน อาทิ ระบบ Digitalization & AI, Virtual Power Plant (VPP), Renewable Energy Forecast Center, ระบบ Demand Response, Flexible Grid & Statcom, Battery Storage, Advanced Metering Infrastructure (AMI) รวมถึงระบบควบคุม SCADA ทั้งนี้ แผนพัฒนาเทคโนโลยีดังกล่าวสอดคล้องกับแผนการลงทุน 5 ปีของการไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และการไฟฟ้านครหลวง ที่ครอบคลุมโครงสร้างพื้นฐานด้านพลังงานทั้งหมด

ในด้านกลยุทธ์การสร้าง New S-Curve บริษัทอยู่ระหว่างพัฒนา “Bamboo Innovation” เพื่อสร้างมูลค่าเพิ่มจากผลิตภัณฑ์นวัตกรรมไผ่ และเตรียมขยายเข้าสู่ธุรกิจ Digitalization, Automation & Solution เพื่อรองรับการเติบโตของอุตสาหกรรมพลังงานยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วย AI และเทคโนโลยีดิจิทัล

ด้านฐานะทางการเงิน PCC ยังคงแข็งแกร่ง โดย ณ สิ้นไตรมาส 2 ปี 2568 บริษัทฯ มีหนี้สินรวมลดลง 35% เหลือ 1,079 ล้านบาท หนี้สินที่มีดอกเบี้ยลดลง 30% อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) อยู่ที่ 0.58 เท่า และอัตราส่วนหนี้สินที่มีดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่เพียง 0.22 เท่า นอกจากนี้ อัตราผลตอบแทนจากสินทรัพย์ (ROA) และผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) เพิ่มขึ้นเป็น 10.62% และ 13.62% ตามลำดับ บริษัทมีเงินสดในมือเพิ่มขึ้นเป็น 476 ล้านบาท ขณะที่เงินกู้ในสกุลเงินต่างประเทศอยู่ในระดับต่ำเพียง 19% ช่วยลดความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน

อีกทั้งบริษัทยังมีนโยบายจ่ายเงินปันผลที่น่าสนใจ โดยให้ Dividend Yield สูงถึง 8.33% สะท้อนถึงความมุ่งมั่นในการสร้างผลตอบแทนที่มั่นคงให้แก่ผู้ถือหุ้น

อย่างไรก็ตาม ปัจจุบัน บริษัทฯ มีมูลค่างานในมือ (Backlog) รวม 3,559 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 1,106 ล้านบาทจากปีก่อน โดยแบ่งเป็นงานโครงการ 68% และงานขาย 31% พร้อมด้วยรายได้ประจำ (Recurring Revenue) อีก 2,258 ล้านบาท ซึ่งจะทยอยรับรู้รายได้ต่อเนื่องจนถึงปี 2570 เสริมความมั่นคงของกระแสเงินสดในระยะยาว

Back to top button