
PCE มั่นใจครึ่งปีหลังรายได้พุ่ง! เปิดโรงสกัดเฟส 2 ก.ย.นี้ ดันกำลังผลิตแตะ 3,600 ตันต่อวัน
PCE มั่นใจแนวโน้มครึ่งปีหลัง 2568 ฟื้นตัวชัด รับแรงหนุนจากผลผลิตปาล์มสูง การส่งออกขยายตัว พร้อมเปิดโรงงานเฟส 2 เดือน ก.ย. นี้ หนุนกำลังผลิตเพิ่มเท่าตัว ดันกำลังผลิตแตะ 3,600 ตันต่อวัน ขณะเดินหน้าแผนลงทุนระยะยาว สร้างการเติบโตแข็งแกร่งและยั่งยืน
นายกีรติ ไชยะกุล ผู้อำนวยการอาวุโสสายงานบัญชีและการเงิน บริษัท เพชรศรีวิชัย เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ PCE เปิดเผยในงาน Opportunity Day จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2568 ว่า ผลประกอบการไตรมาส 2/2568 บริษัทมีรายได้หลักรวม 11,173.5 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 56.7% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 7,129.1 ล้านบาท
ขณะที่กำไรสุทธิ (Net Profit) อยู่ที่ 134.3 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 32.9% จากงวดเดียวของปีก่อนอยู่ที่ 101.1 ล้านบาท สาเหตุหลักจากการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบ (CPO) และน้ำมันเมล็ดในปาล์มดิบ (CPKO) รวม 181,400 ตัน เพิ่มขึ้น 142.3% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน อีกทั้งยังมีการส่งออกกะลาปาล์มคุณภาพสูง 33,881 ตัน ของไตรมาสที่ผ่านมา
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 6 เดือนแรกสิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2568 บริษัทมีรายได้หลักรวม 16,610.4 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 28.9% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 12,889.8 ล้านบาท ขณะที่กำไรสุทธิ (Net Profit) อยู่ที่ 162.4 ล้านบาท ลดลง 23.4% จากงวดเดียวของปีก่อน 212.0 ล้านบาท โดยมีปัจจัยกดดันจากราคาน้ำมันปาล์มดิบที่ปรับตัวลดลงต่อเนื่อง ตั้งแต่กลางไตรมาส 1 ต่อเนื่องถึงต้นไตรมาส 2 และลดลงในอัตราที่เร็วและรุนแรง ทำให้อัตรากำไรขั้นต้น (Margin) แคบลง แม้ว่ารายได้จะเติบโตขึ้นก็ตาม
นายกีรติ กล่าวอีกว่า สำหรับแนวโน้มผลการดำเนินงานในครึ่งหลังของปี 2568 มีทิศทางที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ โดยได้รับแรงสนับสนุนจากผลผลิตปาล์มที่ยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องจากสภาพภูมิอากาศที่เอื้ออำนวย โอกาสในการขยายตลาดส่งออก รวมทั้ง บริษัทฯ มีการขยายกำลังการผลิตโรงสกัดน้ำมันปาล์มที่คาดว่าจะเริ่มดำเนินการได้ตั้งแต่ไตรมาสที่ 4/2568 เป็นต้นไป ซึ่งจะส่งผลให้การบริหารจัดการต้นทุนมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังคงรักษาสถานะทางธุรกิจที่แข็งแกร่ง ด้วยโครงสร้างที่เอื้อต่อการเติบโต โดยอัตรากำไรขั้นต้นมีแนวโน้มฟื้นตัวในระยะถัดไป
ขณะเดียวกัน โรงสกัดน้ำมันปาล์ม เฟส 2 มูลค่าลงทุน 180 ล้านบาท มีความคืบหน้าเป็นอย่างมาก คาดว่าจะแล้วเสร็จและสามารถเริ่มดำเนินงานได้ภายในเดือนกันยายน 2568 โดยโรงงานใหม่มีกำลังการผลิตประมาณ 1,800 ตันต่อวัน เมื่อรวมกับกำลังการผลิตโรงงานเดิมอยู่ที่ 1,800 ตันต่อวัน จะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มเป็น 3,600 ตันต่อวัน หรือเพิ่มขึ้นเท่าตัว
พร้อมกันนี้มีแผนขยายเฟส 3 เพิ่มเติมในกลางปี 2569 เพิ่มกำลังการผลิตอีกประมาณ 1,440 ตันต่อวัน เมื่อครบ 3 เฟสแล้ว สามารถรองรับผลผลิตได้ประมาณ 5,040 ตันต่อวัน เพื่อรองรับผลผลิตปาล์มน้ำมันที่มีการเติบโตต่อเนื่องในพื้นที่ จ.สุราษฎร์ธานี ส่งผลดีต่อ Economy of Scale หรือการเพิ่มความสามารถในการควบคุมต้นทุนการผลิตน้ำมันปาล์มดิบ
ทั้งนี้ บริษัทเดินหน้ามองหาโอกาสการเติบโตผ่านการร่วมลงทุนกับพันธมิตรทั้งในและต่างประเทศ เพื่อเพิ่มแหล่งรายได้และกระจายความเสี่ยงธุรกิจ สนับสนุนการเติบโตที่แข็งแกร่งและยั่งยืน พร้อมสร้างผลตอบแทนที่ดีให้ผู้ถือหุ้น
ขณะเดียวกัน ในเดือนมิถุนายน 2568 บริษัทได้รับการจัดอันดับให้อยู่ใน Fortune Southeast Asia 500 เป็นปีแรกในอันดับที่ 327 จากการจัดอันดับของนิตยสาร Fortune ซึ่งคัดเลือก 500 บริษัทที่มีรายได้สูงสุดในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ สะท้อนศักยภาพทางการเงินและภาพลักษณ์ที่แข็งแกร่งของบริษัทในระดับภูมิภาคและระดับโลก