CGSI ปรับเป้า SET ปีนี้แตะ 1,320 จุด รับการเมืองชัดเจน-ลุ้น ธปท.ลดดอกเบี้ยอีก

CGSI ปรับเป้าดัชนี SET สิ้นปี 68 ขึ้นเป็น 1,320 จุด จาก 1,280 จุด หลังปรับเพิ่มประมาณการ EPS ปี 68-69 รับผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนแข็งแกร่ง การเมืองคลี่คลาย และคาดธนาคารแห่งประเทศไทยลดดอกเบี้ยอีก


บริษัทหลักทรัพย์ ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) หรือ CGSI เปิดเผยบทวิเคราะห์ว่า ได้ปรับเป้าหมายดัชนีตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยสิ้นปี 2568 ขึ้นเป็น 1,320 จุด จากเดิม 1,280 จุด โดยมีปัจจัยสนับสนุนจากการปรับเพิ่มประมาณการกำไรต่อหุ้นของตลาดปี 2568 ขึ้น 1.3% เป็น 81.5 บาท และปี 2569 ขึ้น 0.7% เป็น 87.4 บาท ส่งผลให้กำไรต่อหุ้นของตลาดคาดว่าจะเติบโต 8% ต่อปีทั้งในปี 2568 และ 2569 ซึ่งสูงกว่าการเติบโต 4% ในปี 2567

ผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนในไตรมาส 2 ปี 2568 พบว่า กำไรจากการดำเนินงานปกติโดยรวมเติบโต 6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง 7% จากไตรมาสแรก กลุ่มที่มีการเติบโตสูง ได้แก่ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง อาหาร โทรคมนาคม ขนส่ง และปิโตรเคมี ขณะที่กลุ่มน้ำมันและก๊าซ เทคโนโลยี และอสังหาริมทรัพย์ปรับตัวลดลง อย่างไรก็ตาม หากรวมรายการพิเศษ กำไรสุทธิของบริษัทจดทะเบียนที่ศึกษาเติบโตสูงถึง 43% เมื่อเทียบกับปีก่อน และ 26% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า

ทั้งนี้ ราว 24% ของบริษัทที่ศึกษา มีกำไรสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ 20% ต่ำกว่าคาดการณ์ และอีก 56% ใกล้เคียงกับประมาณการ โดยกลุ่มที่ทำผลงานโดดเด่นกว่าคาดในไตรมาส 2 ได้แก่ กลุ่มธนาคาร รับเหมาก่อสร้าง กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ ขนส่ง และสาธารณูปโภค ส่วนกลุ่มที่มีกำไรต่ำกว่าคาด ได้แก่ กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ และโทรคมนาคม

ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล ประเมินว่า ในช่วงครึ่งหลังปี 2568 ธนาคารแห่งประเทศไทยมีแนวโน้มปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลง 2 ครั้ง ครั้งละ 0.25% ในการประชุมเดือนตุลาคมและเดือนธันวาคม ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลดลงจาก 1.50% เหลือ 1.00% ประกอบกับสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความชัดเจนมากขึ้น จะเป็นแรงหนุนสำคัญต่อดัชนีตลาดหุ้นไทย

สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ซีจีเอส อินเตอร์เนชั่นแนล แนะนำกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค สินเชื่อเพื่อผู้บริโภค รับเหมาก่อสร้าง นิคมอุตสาหกรรม การท่องเที่ยว การแพทย์ และสาธารณูปโภค โดยหุ้นเด่น ได้แก่ อมตะ คอร์ปอเรชัน, กรุงเทพดุสิตเวชการ, เซ็นทรัลพัฒนา, ดิ เอราวัน กรุ๊ป, กัลฟ์ เอ็นเนอร์จี ดีเวลลอปเมนท์, ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล, เมืองไทย แคปปิตอล, โรงพยาบาลพระรามเก้า และทรู คอร์ปอเรชั่น ขณะเดียวกันแนะนำให้ระมัดระวังการลงทุนในกลุ่มสินค้าฟุ่มเฟือย กลุ่มธนาคาร กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ กลุ่มพลังงาน และกลุ่มปิโตรเคมี

Back to top button