
เปิด 5 หุ้นโบรกหั่นเป้า-กำไร เซ่นผลงานครึ่งปีหลังหดตัว
โบรกฯ ปรับลดเป้า-หั่นคำแนะนำหุ้นเด่น 5 ตัว ชี้ผลงานครึ่งปีหลังยังอ่อนแรง นักลงทุนควรพิจารณาความเสี่ยงก่อนเข้าลงทุน
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจและรวบรวมข้อมูลบทวิเคราะห์จากบริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด และบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก จำกัด ซึ่งมีการปรับลดคำแนะนำและปรับลดประมาณการผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนหลายแห่ง เนื่องจากแนวโน้มผลการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังยังไม่สดใสนัก
โดยวันนี้ทีมข่าวคัดเลือกมา 5 บริษัท ได้แก่ 1.บริษัท เจเนซีส เฟอร์ทิลีตี เซ็นเตอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ GFC, โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG, บริษัท เซ็ปเป้ จำกัด (มหาชน) หรือ SAPPE, บริษัท ศรีตรังแอโกรอินดัสทรี จำกัด (มหาชน) หรือ STA และบริษัท ยูบิลลี่ เอ็นเตอร์ไพรส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JUBILE
สำหรับบริษัท GFC ถูกปรับลดคำแนะนำเป็น “ขาย” หลังรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2568 มีกำไรสุทธิเพียง 7.1 ล้านบาท ลดลงถึง 51% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อนหน้า และลดลง 80% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า นับเป็นการปรับลดลงติดต่อกันเป็นไตรมาสที่ 5 สาเหตุหลักมาจากรายได้จากการให้บริการเด็กหลอดแก้วยังฟื้นตัวช้ากว่าที่คาดการณ์ไว้
ขณะที่ต้นทุนค่าเสื่อมราคาและค่าจ้างพนักงานเพิ่มขึ้นมาก ทำให้อัตรากำไรสุทธิลดลงเกินคาด นักวิเคราะห์จึงปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 ลง 55% เหลือเพียง 25 ล้านบาท ลดลง 66% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า พร้อมปรับราคาเป้าหมายใหม่ที่ 3.50 บาท
ส่วน CHG ถูกปรับลดเป้าหมายการเติบโตของรายได้ปี 2568 เหลือน้อยกว่า 5% จากเดิมที่คาดไว้ 10% เนื่องจากรายได้ผู้ป่วยในและผู้ป่วยสิทธิประกันสังคมลดลง โดยเฉพาะรายได้จากผู้ป่วยชาวไทยที่ได้รับผลกระทบจากจำนวนผู้ป่วยโรคตามฤดูกาลที่ลดลงเมื่อเทียบกับปีก่อน ขณะที่รายได้จากผู้ป่วยต่างชาติลดลงจากผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่มีจำนวนจำกัด แม้จะมีการชดเชยด้วยผู้ป่วยจากตะวันออกกลางเพิ่มขึ้น
ด้านผู้บริหารมองว่าในปี 2569 รายได้มีแนวโน้มกลับมาเติบโตได้จากฐานที่ต่ำ โดยเฉพาะผู้ป่วยสิทธิเงินสดและสิทธิประกันสังคมจากโครงการใหม่
สำหรับ SAPPE แม้จะยังคงเป้าหมายรายได้ปี 2568 ที่คาดว่าจะหดตัว 10–20% เมื่อเทียบกับปีก่อน แต่ทิศทางคำสั่งซื้อในไตรมาส 3 ชะลอตัว สวนทางกับสมมติฐานเดิมที่คาดว่าจะเริ่มฟื้นตัว ส่งผลให้บริษัทตัดสินใจเลื่อนการเดินเครื่องโรงงานใหม่ออกไปเป็นช่วงสิ้นปี 2569 เนื่องจากอัตราการใช้กำลังการผลิตในปัจจุบันยังอยู่เพียง 50%
โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์กำไรสุทธิไตรมาส 3 อยู่ที่ 218 ล้านบาท ลดลง 27% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า และคาดว่าไตรมาส 4 จะยังเผชิญภาวะซบเซาเพราะเป็นช่วงโลว์ซีซัน จึงปรับลดประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 ลง 12% เหลือ 877 ล้านบาท ลดลง 30% เมื่อเทียบกับปีก่อน พร้อมปรับราคาเป้าหมายใหม่ที่ 36 บาท และคงคำแนะนำ “ถือ”
ขณะที่ STA ยังคงเผชิญแรงกดดันในไตรมาส 3 จากการที่ลูกค้าหลายรายยังคงลดสต็อกสินค้า (destocking) และรอดูความชัดเจนของกฎระเบียบด้านสิ่งแวดล้อมของสหภาพยุโรป (EUDR) ทำให้ปริมาณและราคาขายยางคาดว่าจะอ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อนหน้า ผู้บริหารตั้งเป้าปริมาณขายปี 2568 ให้อยู่ในระดับใกล้เคียงกับปี 2567 หมายความว่าครึ่งปีหลังจะลดลงจากครึ่งปีแรก อย่างไรก็ตาม แม้แนวโน้มระยะสั้นยังไม่สดใส แต่นักวิเคราะห์คาดว่าเมื่อความชัดเจนของกฎ EUDR ปรากฏชัดเจน อาจทำให้ความต้องการกลับมาได้ตั้งแต่ไตรมาส 4 ปี 2568 ถึงปี 2569 โดยยังคงคำแนะนำ “เก็งกำไร”
ด้าน JUBILE ถูกปรับลดคาดการณ์รายได้และกำไรปี 2568 เหลือ 1,200 ล้านบาท และ 107 ล้านบาท ลดลง 9% และ 16% ตามลำดับ หลังจากรายได้ครึ่งปีแรกอยู่ที่ 563 ล้านบาท ลดลง 24% เมื่อเทียบกับปีก่อน คิดเป็นเพียง 47% ของประมาณการเดิม นักวิเคราะห์ยังคงคาดว่ารายได้ครึ่งปีหลังจะกลับมาเติบโต หลังจากไทยและสหรัฐอเมริกาสามารถบรรลุข้อตกลงทางการค้า
นอกจากนี้ยังปรับลดประมาณการปี 2569 เหลือรายได้ 1,290 ล้านบาท และกำไร 130 ล้านบาท ลดลง 7% และ 4% จากเดิมตามลำดับ แม้ราคาหุ้นยังมีอัพไซด์สูงถึง 24% แต่เนื่องจากผลประกอบการชะลอตัวและยังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจน จึงคงคำแนะนำ “ถือ” พร้อมประเมินราคาเหมาะสมที่ 9 บาท
อย่างไรก็ตาม บทวิเคราะห์ทั้งหมดสะท้อนให้เห็นว่าหลายบริษัทจดทะเบียนเผชิญแรงกดดันจากการฟื้นตัวที่ล่าช้า ต้นทุนการดำเนินงานสูง และปัจจัยภายนอกที่ยังไม่เอื้ออำนวย ส่งผลให้นักวิเคราะห์เลือกที่จะปรับลดเป้าหมายและคำแนะนำลงทุน เพื่อให้นักลงทุนใช้เป็นข้อมูลประกอบการตัดสินใจก่อนเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทย