
ธปท. ชี้หนี้ครัวเรือนไทยวิกฤติ คนรุ่นใหม่–ผู้สูงอายุแบกภาระ เร่งปรับโครงสร้างการเงิน
ธปท.และสมาคมธนาคารไทย ชี้หนี้ครัวเรือนไทยแตะระดับวิกฤติ คนรุ่นใหม่กว่าครึ่งมีหนี้ติดตัว ขณะผู้สูงอายุยังแบกภาระต่อเนื่อง หนี้ครัวเรือนรวมทะลุ 13.5 ล้านล้านบาท คุณภาพสินเชื่อถดถอย ธปท.–สมาคมธนาคารไทยเร่งดันมาตรการเยียวยาและปฏิรูปโครงสร้างการเงิน
ดร.รุ่ง โปษยานนท์ มัลลิกะมาส รองผู้ว่าการด้านเสถียรภาพสถาบันการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยถึงประเด็นน่ากังวลด้านหนี้ครัวเรือน โดยพบว่าคนรุ่นใหม่อายุ 22–29 ปีเกือบครึ่งหนึ่งมีหนี้ติดตัว และกว่า 1 ใน 4 มีปัญหาผ่อนชำระ กลุ่มเกษียณเองก็ยังมีภาระหนี้ต่อเนื่อง โดยหนี้ส่วนใหญ่มาจากการบริโภคมากกว่าการลงทุน ทั้งนี้หนี้ในระบบครอบคลุมประชากรราว 38% หรือเฉลี่ย 5 แสนบาทต่อคน ส่วนหนี้นอกระบบยังมีน้ำหนักเพิ่มขึ้น คาดว่าคิดเป็นสัดส่วน 14% ของ GDP แม้ยังประเมินชัดเจนไม่ได้
ด้าน ดร.ลัษมณ อรรถาพิช ผู้จัดการใหญ่ บริษัท ข้อมูลเครดิตแห่งชาติ (NCB) ระบุว่า ณ มิถุนายน 2568 หนี้ครัวเรือนในระบบฐานข้อมูลของ NCB อยู่ที่ 13.5 ล้านล้านบาท คิดเป็นราว 80% ของยอดหนี้ครัวเรือนทั้งหมด โดยมีสินเชื่อบ้านครองสัดส่วนใหญ่ ขณะที่สินเชื่อบุคคลเร่งตัวขึ้น ส่วนสินเชื่อรถปรับลดลง ขณะเดียวกันหนี้เสีย (NPL) เพิ่มขึ้นในทุกประเภท บ่งชี้ถึงคุณภาพหนี้ที่ถดถอยลง
นายผยง ศรีวณิช กรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงไทย และประธานสมาคมธนาคารไทย ชี้ว่า หนี้ครัวเรือนมีความเชื่อมโยงลึกซึ้งกับรากฐานเศรษฐกิจไทย ซึ่งกำลังเผชิญความไม่สมดุลหลายประการ โดยเศรษฐกิจนอกระบบมีสัดส่วนสูงถึง 48% ของ GDP และแรงงานกว่าครึ่งอยู่ในกลุ่มนี้ อีกทั้งจากประชากร 68 ล้านคน มีเพียง 11 ล้านคนที่ยื่นภาษี และเพียง 4 ล้านคนที่เสียภาษีจริง ขณะที่ประชาชนกว่า 69 ล้านคนยังได้รับสวัสดิการจากรัฐ ด้าน SME มีสัดส่วนเพียง 30% ของ GDP แม้จะจ้างงานกว่า 70% ของแรงงาน เทียบกับบริษัทชั้นนำเพียง 1% ของประเทศที่สร้างสัดส่วน GDP สูงถึง 65%
โดยผู้เชี่ยวชาญระบุปัจจัยเชิงโครงสร้างที่ก่อให้เกิดหนี้สูง ได้แก่ ทักษะการเงินระดับต่ำของภาคประชาชน ซึ่งส่งผลให้การจัดการหนี้ และรายได้ไม่ดีพอ, การเติบโตทางเศรษฐกิจที่เชื่องช้า ผนวกกับการเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุ ซึ่งสร้างภาระการเงินแก่ครัวเรือน, ระบบสวัสดิการสังคมอ่อนแอ ซึ่งผลักภาคครัวเรือนไปกู้หนี้นอกระบบดอกเบี้ยสูง, การขาดฐานข้อมูลที่ครบถ้วน ซึ่งทำให้การประเมินเครดิตไม่แม่นยำ, เศรษฐกิจนอกระบบขนาดใหญ่ ซึ่งส่งผลให้รายได้ต่ำ ช่องว่างรายได้ และความเปราะบางสูง, ความเหลื่อมล้ำสูง โดยมีจำนวนธุรกิจเพียง 1% ที่มีส่วนสนับสนุน GDP ส่วนใหญ่ (65%) ขณะที่ SME มีส่วนสนับสนุนเศรษฐกิจของประเทศเพียง 30%, ระบบการเงินกระจายตัว โดยประเทศไทยมีสถาบันทางการเงินกว่า 3,000 แห่ง ส่งผลต่อการแข่งขัน และการกระจายทรัพยากรที่ไม่ทั่วถึง
ทั้งนี้ ผู้เชี่ยวชาญเสนอแนวทางเยียวยาระยะสั้น ควบคู่กับการปฏิรูปเชิงโครงสร้างระยะยาว เช่น การขยายบทบาท AMC : ดร.รุ่งเสนอให้มีการขยายขนาดบริษัทบริหารสินทรัพย์ (Asset Management Company: AMC) ที่มีอยู่ 86 แห่ง ซึ่งดูแลหนี้เสียราว 2 ล้านล้านบาท โดยการปรับกฎระเบียบ และสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำอาจช่วยจัดประเภท “สินเชื่อที่ก่อให้เกิดรายได้” (Reperforming Loan: RPL) ใหม่ โดยลดระยะเวลาในการแก้ไขจาก 7-10 ปี เหลือ 4-5 ปี
การดึงหนี้นอกระบบเข้าสู่ระบบ : เน้นย้ำความสำคัญของการนำผู้กู้นอกระบบเข้าสู่ระบบผ่านโครงการต่าง ๆ เช่น โครงการ Your Data ของธปท. รวมถึงการใช้งานแหล่งข้อมูลจากภาครัฐ ขณะที่ธนาคารเสมือน (Virtual Bank) จะมีบทบาทเพิ่มขึ้นในการให้บริการกลุ่มเปราะบาง
เสริมการตัดสินใจด้วยข้อมูล : NCB เตรียมขยายคุณภาพข้อมูลเครดิตให้ครบถ้วนขึ้น สำหรับธนาคาร ผู้บริโภค และผู้กำหนดนโยบาย เพื่อการบริหารความเสี่ยง และการตรวจจับการทุจริตที่แม่นยำ ข้อมูลทางเลือกจะมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการส่งเสริมการเข้าถึงบริการทางการเงิน
หลักการและการประสานงานภาคธนาคาร : นายผยงวาง 5 หลักสำคัญสู่ระบบที่ทั่วถึง และเป็นธรรม (Risk-based pricing), การแข่งขันที่เท่าเทียม, การสร้างฐานความมั่งคั่งโดยไม่ก่อหนี้เกินตัว พร้อมแผนประสานงาน 3 ระยะร่วมกับรัฐ และธปท. ทั้งการเยียวยาระยะสั้น (ผ่านโครงการ คุณสู้ เราช่วย, การลดอัตราดอกเบี้ย), การเสริมสวัสดิการ (Negative income tax เริ่มใช้ปี 2570) และการกระตุ้นรายได้ผ่านการจ้างงาน, การจูงใจภาคเอกชน และมาตรการผ่อนปรนพิเศษ
ทั้งนี้ ดร.รุ่ง เน้นย้ำว่า แม้เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพด้านต่าง ๆ แต่ความเชี่ยวชาญของมนุษย์ซึ่งเปรียบเหมือน “หมอ” ของระบบการเงิน ยังคงมีความจำเป็นต่อการจัดการ “สภาวะการเงินที่มีปัญหา” และฟื้นฟูเสถียรภาพในระยะยาว