
ส.อ.ท. ชี้ทางรอด! “BioTech” เมกะเทรนด์ 4 ล้านล้านเหรียญ พลิกเกษตรไทย-ดึงเงินลงทุน
สภาอุตสาหกรรมฯ ย้ำ "เทคโนโลยีชีวภาพ" (BioTech) ไม่ใช่แค่ "ทางเลือก" แต่เป็น "ทางรอด" เดียวของอุตสาหกรรมไทย ชี้เป็นเมกะเทรนด์โลกมูลค่ามหาศาลกว่า 4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ที่จะเข้ามาปลดล็อกศักยภาพภาคเกษตรกรรมของประเทศ สร้างมูลค่าเพิ่ม 1,000 เท่า แนะรัฐทบทวนนโยบายสนับสนุน หลังพบ FDI ข้ามหัวไทยไปประเทศเพื่อนบ้านต่อเนื่องหลายปี เหตุขาด Ecosystem และการลงทุน R&D เชิงกลยุทธ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัทหลักทรัพย์ ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) หรือ FSSIA จัดสัมมนาพิเศษ “Finansia Investment Insight” เจาะลึกเมกะเทรนด์ที่กำลังจะพลิกโฉมเศรษฐกิจโลกและเป็นทางรอดสำคัญของประเทศไทย โดยมี คุณวิวรรธน์ เหมมณฑารพ รองประธานสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) และประธานสถาบันนวัตกรรมเพื่ออุตสาหกรรม ร่วมให้วิสัยทัศน์ ชี้ว่าท่ามกลางความท้าทายทางเศรษฐกิจที่รุมเร้า “เทคโนโลยีชีวภาพ” (BioTech) คือกุญแจดอกสำคัญที่จะนำพาเศรษฐกิจไทยก้าวข้ามกับดักความยากจน และดึงดูดเม็ดเงินลงทุนมหาศาลเข้าประเทศ
BioTech: เมกะเทรนด์โลกที่ไทยต้องคว้าไว้
คุณวิวรรธน์ ระบุว่า เทคโนโลยีชีวภาพกำลังจะกลายเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงถึง 2-4 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐภายในปี 2040 เนื่องจากเป็นเทคโนโลยีที่เข้ามาตอบโจทย์ใหญ่ของโลก ไม่ว่าจะเป็น การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (Climate Change), ความมั่นคงทางอาหาร (Food Security) และ การพัฒนาระบบสุขภาพ เพื่อรองรับสังคมสูงวัย ซึ่งหลายประเทศทั่วโลกได้นำ BioTech มาเป็นยุทธศาสตร์หลักในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไปแล้ว
สำหรับประเทศไทย ซึ่งมีอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจเฉลี่ยเพียง 2% ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา และพึ่งพิงการส่งออกและการท่องเที่ยวสูงถึง 75% ของ GDP มีจุดแข็งที่สำคัญคือ ความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity) ที่ไม่สามารถลอกเลียนแบบได้ BioTech จะเป็นสะพานเชื่อมให้ภาคเกษตรดั้งเดิมซึ่งมีประชากรกว่าครึ่งประเทศแต่สร้าง GDP ได้เพียง 9% ก้าวไปสู่อุตสาหกรรมมูลค่าสูงได้
“เราสามารถยกระดับวัตถุดิบทางการเกษตร เช่น กระชายดำ จากการส่งออกเป็นผงในราคาไม่กี่ร้อยบาทต่อกิโลกรัม ไปสู่การสกัดสารสำคัญเพื่อผลิตอาหารเสริมหรือเครื่องสำอางชีวภาพ ที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น 100-1,000 เท่าได้” คุณวิวรรธน์กล่าว
ชี้จุดอ่อน ทำไทยเสี่ยง “ตกเรดาร์” การลงทุน
อย่างไรก็ตาม คุณวิวรรธน์ได้ชี้ให้เห็นถึงความท้าทายที่ทำให้ประเทศไทยเสี่ยง “ตกเรดาร์“ ของนักลงทุนต่างชาติ โดยระบุว่า “เงินลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศ (FDI) กำลังข้ามหัวประเทศไทยไปยังประเทศเพื่อนบ้านมาหลายปีแล้ว“ เนื่องจากปัจจัยสำคัญหลายประการ:
การลงทุนR&D ต่ำและกระจัดกระจาย: การลงทุนด้านวิจัยและพัฒนาของไทยอยู่ที่เพียง2% ของ GDP และไม่ได้ถูกจัดสรรอย่างมีกลยุทธ์เพื่อสร้างผลกระทบต่อเศรษฐกิจอย่างแท้จริง
ขาดแคลนบุคลากร(Talent): ประเทศยังขาดบุคลากรที่มีความสามารถในสาขาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีชีวภาพ
ระบบนิเวศ(Ecosystem) ไม่เอื้อ: ขาดการเชื่อมโยงที่แข็งแกร่งระหว่างงานวิจัยและภาคอุตสาหกรรม รวมถึงการเข้าถึงห้องปฏิบัติการทดสอบที่มีค่าบริการเหมาะสม
นโยบายรัฐแบบดั้งเดิม:การสนับสนุนของภาครัฐยังคงเน้นรูปแบบปลายทาง เช่น สิทธิประโยชน์ BOI หรือการลดภาษีนำเข้าเครื่องจักร แต่ไม่ได้สร้าง “ต้นทาง” หรือระบบนิเวศที่จำเป็นต่อการเติบโตของอุตสาหกรรมใหม่
ขาดฐานข้อมูลชีวภาพแห่งชาติ:ซึ่งเป็นเรื่องน่ากังวลที่ประเทศอื่นกลับมีข้อมูลพืชของไทยมากกว่าที่เรามีเอง
แนะ 9 กลยุทธ์ปลดล็อกศักยภาพ BioTech ไทย
เพื่อพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส รองประธาน ส.อ.ท. ได้เสนอแนะให้ประเทศไทยเร่งดำเนินการเชิงกลยุทธ์ โดยเฉพาะการสร้าง “Thailand Biotech Hub” ให้เป็นศูนย์กลางที่รับรองคุณภาพผลิตภัณฑ์ไทยในตลาดโลก และปรับกลยุทธ์ดึงดูดการลงทุนจากที่เน้น “สร้างเอง” (Build) ซึ่งใช้เวลานาน ไปสู่การ “ซื้อเทคโนโลยี” (Buy) หรือ “ร่วมลงทุน” (JV) เพื่อเร่งสปีดการเติบโต
โดยเสนอให้ โฟกัสระยะสั้น (5 ปี) ไปที่ อาหารและสุขภาพ (Food & Health) เช่น อาหารฟังก์ชัน (Functional Food) และผลิตภัณฑ์สมุนไพร ซึ่งไทยมีความพร้อมด้านวัตถุดิบและสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มได้เร็ว ส่วน ระยะยาว (หลังปี 2030) ให้มุ่งเน้น Bioinformatic และการแพทย์แม่นยำ (Precision Medicine)
“เรายังทัน โดยเฉพาะในกลุ่มอาหารและสุขภาพ เพียงแต่ต้องเร่งสร้างแบรนด์ดิ้ง ความน่าเชื่อถือ และแพลตฟอร์มการตลาดที่แข็งแกร่ง การยกระดับภาคเกษตรด้วย BioTech ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ประเทศพ้นจากความยากจน แต่ยังขับเคลื่อนการบริโภคในประเทศและนำไปสู่การเติบโตที่ยั่งยืนอย่างแท้จริง” คุณวิวรรธน์กล่าวทิ้งท้าย