HYDRO ปิดฉากคดีก่อสร้าง! “ศาลปกครองสูงสุด” สั่งชำระคู่กรณี 23.86 ล้านบาท

HYDRO แจ้งศาลปกครองสูงสุด ยืนตามคำพิพากษาเดิม สั่งชำระหนี้คดีก่อสร้าง 23.86 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ย เหตุคู่กรณีฟ้องงานก่อสร้างตามสัญญาล่าช้า เผยบริษัทจัดหาแหล่งเงินทุนหมุนเวียนบริษัทย่อยเพื่อเสริมสภาพคล่อง ไม่ส่งผลกระทบต่อดำเนินงาน


บริษัท ไฮโดรเท็ค จำกัด (มหาชน) หรือ HYDRO แจ้งผ่าน ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ว่าบริษัทฯขอชี้แจงคดีความที่สิ้นสุดแล้วของศาลปกครอง ดังนี้ ในเดือนพฤศจิกายน 2559 บริษัทได้ฟ้องร้องคู่สัญญารายหนึ่งต่อ ศาลปกครองกลาง เรียกร้องให้คู่สัญญาจ่ายชำระค่างวดงานก่อสร้างให้กับบริษัทเป็นเงินจำนวน 52.57 ล้านบาท พร้อมทั้งคืนเงินประกันตามหนังสือค้ำประกันของธนาคารจำนวน 10.60 ล้านบาทให้กับบริษัท เนื่องจากคู่สัญญาดังกล่าวได้กระทำผิดสัญญาจ้างทำงานก่อสร้างระบบรวบรวมและบำบัดน้ำเสีย โดยได้แจ้งยกเลิกสัญญาจ้างทำงานดังกล่าวโดยมิใช่เป็นความผิดหรือความบกพร่องของบริษัท

ต่อมาในเดือนมีนาคม 2560 คู่สัญญาดังกล่าวได้ยื่นคำให้การและฟ้องแย้งต่อศาลปกครองกลางเรียกร้องค่าเสียหายจากบริษัทจำนวน 52.81 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.50 ต่อปี โดยกล่าวหาว่า HYDRO ทำงานก่อสร้างตามสัญญาล่าช้า จึงขอยกเลิกสัญญาและเรียกร้องค่าเสียหายจากบริษัทดังกล่าวต่อมาเมื่อวันที่ 22 กรกฎาคม 2564 ศาลปกครองกลางพิพากษาให้คู่สัญญาชำระค่างวดงานบางส่วนแก่บริษัทและให้บริษัทจ่ายชำระค่าเสียหายแก่คู่สัญญา ซึ่งสุทธิแล้วบริษัทต้องชำระค่าเสียหายแก่คู่สัญญาจำนวน 23.86 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.50 ต่อปี

ต่อมาเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2567 ศาลปกครองสูงสุด มีคำพิพากษา แก้คำพิพากษาศาลปกครองกลาง ให้บริษัทชำระเงินจำนวน 23.86 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยใน อัตราร้อยละ 7.50 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องแย้งจนถึงวันที่ 10 เมษายน 2564 และดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 5.00 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 11 เมษายน 2564 เป็นต้นไป

อย่างไรก็ตาม บริษัทได้รับรู้ประมาณการหนี้สินค่าเสียหายจากคดีความดังกล่าวทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยรวมในกำไรขาดทุนสำหรับปี 2567 แล้ว บริษัทไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาลปกครองสูงสูดทั้งในประเด็นข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย บริษัทได้ดำเนินการยื่นคำขอให้ศาลปกครองกลางพิจารณาพิพากษาคดีหรีอคำสั่งชี้ขาดคดีปกครองใหม่ เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2567

โดยศาลปกครองกลางได้มีคำสั่งไม่รับคําขอพิจารณาคดีใหม่ของบริษัทเมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2568 ทำให้บริษัทได้ ยื่นอุทธรณ์ คำสั่งดังกล่าวต่อศาลปกครองสูงสุด เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2568 และศาลปกครองสูงสุดได้มีคำสั่งยืนตามศาลปกครองกลาง คือ ไม่รับคําขอพิจารณาคดีใหม่ของบริษัทเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2568 ส่งผลให้คดีดังกล่าวถึงที่สุดแล้ว

ทั้งนี้ กรมบังคับคดี ได้ดำเนินการอายัดบัญชีเงินฝากของบริษัทเป็นจำนวน 23.86 ล้านบาท เพื่อให้การดำเนินธุรกิจของบริษัทสามารถดำเนินต่อไปได้อย่างต่อเนื่องโดยไม่ติดขัด บริษัทจึงได้จัดหาแหล่งเงินทุนหมุนเวียนจากบริษัทย่อยเพื่อเสริมสภาพคล่องในการดำเนินงาน โดยไม่ส่งผลกระทบต่อสภาพคล่องของบริษัทย่อยดังกล่าว

Back to top button