
เส้นตาย 4 เดือนรัฐบาลใหม่ “เศรษฐกิจ-ค่าเงินบาท-ตลาดหุ้น” ด่านทดสอบใหญ่ทีมอนุทิน
รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ “อนุทิน ชาญวีรกูล” กำลังเผชิญโจทย์ใหญ่เส้นตาย 4 เดือน ฟื้นเศรษฐกิจท่ามกลางแรงกดดันรอบด้าน ทั้งค่าครองชีพสูง ค่าเงินบาทแข็ง และความเชื่อมั่นในตลาดทุน การดึงทีมเศรษฐกิจคนนอกเข้ามามีบทบาท จึงเป็นเดิมพันสำคัญว่าจะเปลี่ยนความคาดหวังให้กลายเป็นผลลัพธ์จริงได้ทันเวลาก่อนครบกำหนดหรือไม่
ทันทีที่เข้ารับตำแหน่ง นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย ได้ประกาศอย่างชัดเจนว่า จะลุยงานแบบ “ไม่หยุดพัก” พร้อมวางแนวทางการทำงานผ่าน “4 ภารกิจเร่งด่วน” หนึ่งในนั้นคือโจทย์ใหญ่ด้านเศรษฐกิจ ซึ่งทั้งตัวเลขจริงและหลายสถาบันต่างเห็นพ้องว่า ไตรมาส 3 ปีนี้ เศรษฐกิจไทยกำลังซบเซา
เป้าหมายของรัฐบาลใหม่ชัดเจน คือการลดภาระค่าครองชีพ ทั้งพลังงานและการเดินทาง แก้ปัญหาหนี้สินของเกษตรกรและผู้มีรายได้น้อย และสร้างรายได้ใหม่ ๆ ในระดับชุมชน แต่คำถามสำคัญคือ เวลาที่มีเพียง 4 เดือน จะเพียงพอหรือไม่ สำหรับการพิสูจน์ผลลัพธ์จริง
หนึ่งในมูฟที่สร้างแรงสะเทือนมากที่สุดคือการดึง “คนนอกการเมือง” เข้ามานั่งเก้าอี้เศรษฐกิจ สะท้อนว่ารัฐบาลเลือกใช้มืออาชีพมากกว่าการเมืองล้วน ๆ นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมธนารักษ์ ลูกหม้อตัวจริงเสียงจริงของกระทรวงการคลังขึ้นแท่น รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง
เสริมทัพด้วย นายวรภัค ธันยาวงษ์ อดีตกรรมการผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงไทย ในตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง โดยมีประสบการณ์ร่วมทีมเจรจาภาษีทรัมป์กับสหรัฐอเมริกา
ด้านการค้า นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ อดีตซีอีโอ ดุสิตธานี ได้รับการเชิญให้มาคุมกระทรวงพาณิชย์ ส่วนกระทรวงพลังงาน นายอรรถพล ฤกษ์พิบูลย์อดีตซีอีโอ ปตท. ขยับมารับตำแหน่งรัฐมนตรี ความเคลื่อนไหวเหล่านี้สะท้อนความพยายามของรัฐบาลในการสร้างความเชื่อมั่น โดยเลือกใช้ “มืออาชีพ” เข้ามาขับเคลื่อนกลไกเศรษฐกิจอย่างจริงจัง
ชูโครงการ “คนละครึ่ง” เวอร์ชันใหม่ “โมเดล 60:40”
โครงการ “คนละครึ่ง” เวอร์ชันใหม่ ซึ่งออกแบบให้ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาได้รับสิทธิพิเศษ รัฐช่วยจ่าย 60% ประชาชนจ่าย 40% ผ่านแอปฯ “เป๋าตัง” ขณะที่ประชาชนทั่วไปและผู้ถือบัตรสวัสดิการ ยังคงใช้สูตร 50:50 ตามเดิม
นายลวรณ แสงสนิท ปลัดกระทรวงการคลัง ระบุในวันที่ 11 กันยายน 2568 ว่า หากมาตรการนี้เริ่มใช้เดือนตุลาคม 2568 (ปีงบประมาณใหม่) จะใช้งบประมาณราว 25,000 ล้านบาท จากงบปี 2569 หมวดกระตุ้นเศรษฐกิจ ขณะที่ ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินว่า วงเงินดังกล่าวจะก่อเม็ดเงินหมุนเวียน 70,000–100,000 ล้านบาท และหากขยายเป็น 50,000 ล้านบาทจะสร้างเม็ดเงินหมุนเวียน 100,000–150,000 ล้านบาท ดันจีดีพีไตรมาส 4 และต้นปี 2569 โตเกิน 3% ได้
ท่องเที่ยว–พาณิชย์–พลังงาน : โจทย์ใหญ่ไม่แพ้กัน
รายได้หลักของไทยอย่างการท่องเที่ยวก็กำลังเผชิญความท้าทาย จากกรณีนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะจีน ลดลงตั้งแต่ต้นปี แนวคิด “ทัวร์ไทยคนละครึ่ง” จึงถูกหยิบขึ้นมา โดย นางสาวฐาปนีย์ เกียรติไพบูลย์ ผู้ว่าการการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) เสนอให้บริษัททัวร์ทำแพ็กเกจพิเศษ เพื่อดึงกำลังซื้อคนไทยเอง โดยอาจใช้งบประมาณที่เหลือจากโครงการ “เที่ยวไทยคนละครึ่ง” กว่า 1,700 ล้านบาท
ด้านการค้าระหว่างประเทศ “ศุภจี” ว่าที่ รมว.พาณิชย์ แสดงวิสัยทัศน์ชัดว่า จะไม่เดินเดี่ยว แต่จะทำงานร่วมกับทีมเศรษฐกิจทั้งระบบ เพื่อผลักดันทั้งการส่งออก เจรจาการค้า และการดูแลปากท้องของประชาชนภายในประเทศ ขณะที่ “อรรถพล” ว่าที่ รมว.พลังงานในรัฐบาลใหม่ เผยจุดยืนแรกว่า ไทยจะไม่เจรจาเรื่องผลประโยชน์พลังงานกับกัมพูชาจนกว่าข้อพิพาทเขตแดนจะยุติ เพื่อปกป้องอธิปไตยและความมั่นคงของประเทศ
นอกจากค่าครองชีพที่สูงแล้ว อีกปัจจัยที่รัฐบาลเลี่ยงไม่ได้คือ “ค่าเงินบาทแข็ง” ซึ่งช่วงนี้เดินหน้าต่อเนื่อง เมื่อเทียบกับภูมิภาค ฟังดูเหมือนเป็นเรื่องดี แต่ในความจริงกลับกดดันเศรษฐกิจหลายทาง ทั้งทำให้สินค้าไทยแพงขึ้นในสายตาต่างชาติ กัดเซาะกำลังแข่งขันของการส่งออก และทำให้นักท่องเที่ยวใช้จ่ายในไทยลดลง เพราะเงินในกระเป๋าเขามีค่าน้อยลงเมื่อมาแลกเป็นบาท
สำหรับตลาดทุน ค่าเงินบาทแข็งยังสะเทือน Fund Flow ต่างชาติ เพราะทำให้ต้นทุนและผลตอบแทนจากการลงทุนในสินทรัพย์ไทยเปลี่ยนไปทันที คำถามจึงไม่ใช่แค่จะทำให้บาทอ่อนลงได้ไหม แต่คือทีมเศรษฐกิจใหม่จะจัดการสมดุลค่าเงินกับการฟื้นเศรษฐกิจในประเทศอย่างไร? เพราะค่าเงินบาทแข็งในรอบนี้ไม่ใช่แค่ “ตัวเลขในกระดาน” แต่สะท้อนโจทย์ใหญ่ของทีมเศรษฐกิ
อย่างไรก็ดี สัญญาณเชิงบวกต่อโฉมหน้า รัฐมนตรีจากโควต้าคนนอกของรัฐบาลอนุทิน เริ่มปรากฏในมุมมองโบรกเกอร์ แต่เพื่อความถูกต้อง ควรอธิบาย “กรอบ” และ “เงื่อนไข” ให้ครบถ้วนมากกว่าระบุเป็น “เป้าหมายแน่นอน”
ด้าน บล.เอเซีย พลัส มองว่า มีโอกาสที่ดัชนีจะฟื้นกลับไปยืนแถว 1,300 จุด หากนโยบายเศรษฐกิจเดินหน้าและบรรยากาศการลงทุนครึ่งปีหลังเอื้อ ขณะที่ บล.กสิกรไทย ประเมินกรอบรายสัปดาห์ 15–19 กันยายน 2568 วางแนวรับที่ระดับ 1,275- 1,255 จุด และแนวต้านที่ 1,300–1,315 จุด ซึ่งสะท้อนว่า 1,300 จุด ยังเป็นทั้งแนวต้านทางเทคนิคและระดับจิตวิทยาที่ตลาดจับตา
นอกจากนี้ บทวิเคราะห์รายวัน/อินทราเดย์ จากโบรกเกอร์หลายแห่ง ก็ยังมองแนวต้านที่ 1,290–1,300 จุด และแนวรับย่อยที่ 1,270–1,283 จุด เพื่อใช้เป็นจุดอ้างอิงการเทรดระยะสั้น สิ่งนี้สะท้อนว่า แนวต้านสำคัญ 1,300 จุด ไม่ได้เป็นแค่ตัวเลข แต่คือ “ด่านทดสอบ” ของความเชื่อมั่นตลาดในเวลานี้
สุดท้าย เส้นตาย 4 เดือนนี้ ไม่ได้เป็นเพียงกรอบเวลาทางการเมือง แต่คือการวัดศรัทธาทางเศรษฐกิจทั้งระบบ ทีมคนนอกที่ถูกดึงเข้ามาจะสามารถเปลี่ยนความคาดหวังให้เป็นผลลัพธ์จริงได้หรือไม่? ค่าเงินบาทที่แข็งไม่หยุดจะถูกจัดการอย่างไร? และตลาดหุ้นที่จับตาแนวต้านสำคัญ 1,300 จุด จะยืนได้จริงหรือไม่?
คำตอบเหล่านี้จะเป็นตัวชี้ชะตาว่า “รัฐบาลอนุทิน1” จะสร้างแรงส่งเศรษฐกิจได้ทันก่อนครบกำหนด หรือจะปล่อยให้โอกาสครั้งสำคัญนี้หลุดมือไป……และสุดท้ายแล้ว กาลเวลาเท่านั้น… ที่จะพิสูจน์ “ฝีมือ” อย่างแท้จริง!!