
หุ้นปันผลเป้าฝรั่ง
วานนี้ดัชนีหุ้นไทยปิดติดลบ 10.18 มาที่ 1,282.54 จุด และเป็นการปิดลบวันที่ 4 ติดต่อกัน ดัชนีร่วงติดลบหลุด 1,300 จุดลงมา หลังจากขึ้นมาปิดยืนเหนือระดับดังกล่าวได้เพียง 2 วันคือวันที่ 16-17 ก.ย.ที่ผ่านมา
วานนี้ดัชนีหุ้นไทยปิดติดลบ 10.18 มาที่ 1,282.54 จุด และเป็นการปิดลบวันที่ 4 ติดต่อกัน
ดัชนีร่วงติดลบหลุด 1,300 จุดลงมา หลังจากขึ้นมาปิดยืนเหนือระดับดังกล่าวได้เพียง 2 วันคือวันที่ 16-17 ก.ย.ที่ผ่านมา
ด้านสัญญาณทางเทคนิคนั้น จริงแล้ววานนี้ลุ้นว่าจะหลุด 1,289 จุดหรือไม่
ปรากฏว่า “ไม่รอด”
ส่วนแนวรับถัดไปอยู่ที่ 1,280–1,272 จุด
ช่วงที่ดัชนีขึ้นมายืนระดับ 1,300 จุดในเชิงของ Valuation ดันตัวเลข P/E ของตลาดฯ ขึ้นมาอยู่ที่ 13.7-13.8 เท่า ถือว่าค่อนข้างสูง เพราะราคาแพงเป็นอันดับ 2 เมื่อเทียบกับตลาดหุ้นในภูมิภาค
ขณะที่ตัวเลขจีดีพีของประเทศไทยกลับเติบโตต่ำที่สุดในภูมิภาค
ส่วนนักลงทุนต่างประเทศวานนี้ได้ขายสุทธิอีก 1,671 ล้านบาท และเป็นการขาย 4 วันติดต่อกัน
ทำให้ในช่วง 7 วัน ต่างชาติขายหุ้นไทยออกมา 4,346 ล้านบาท
ในช่วง 14 วัน ต่างชาติขายสุทธิ 6,828 ล้านบาท
และในช่วง 30 วัน ต่างชาติขายหุ้นไทยประมาณ 27,709 ล้านบาท (หักธุรกรรมขายหุ้น “ติดล้อ” ของกลุ่มผู้ถือหุ้นใหญ่)
ในภาวะตลาดเช่นปัจจุบัน ดูเหมือนต่างชาติจะขายหุ้นไทยออกมาได้อีกเรื่อย ๆ
ทว่า น่าจะเป็นการขายหุ้นเพื่อทำกำไร
แต่ยังมีหุ้นบางส่วนที่ต่างชาติน่าจะซื้อถือยาว เป็นหุ้นมาร์เก็ตแคปขนาดใหญ่ และมีเป้าเพื่อซื้อรับเงินปันผล
ล่าสุด “เอเซีย พลัส” มองว่า หลังจากนี้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) มีโอกาสลดดอกเบี้ยอีก 2 ครั้ง ส่วนประเทศอื่น ๆ คาดว่าอาจจะคงดอกเบี้ย หรือลดดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งในช่วงที่เหลือของปี
ทำให้คาดหวังเม็ดเงินตราสารหนี้ไหลเข้าสินทรัพย์เสี่ยงเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะในฝั่งเอเชีย ที่มีระดับอัตราผลตอบแทนจากกำไรเด่นกว่าฝั่งตลาดหุ้นพัฒนาแล้ว โดยไทยอยู่ระดับสูงถึง 6.7%
ฝั่งสหรัฐฯ อย่าง S&P500 และ NASDAQ ที่อยู่ระดับ 4.1% และ 3.1%
ดังนั้น กลยุทธ์การลงทุนในช่วงที่ดอกเบี้ยสหรัฐฯ ลงเร็ว และแรงกว่าประเทศอื่น ๆ เอเซีย พลัสจึงแนะนำหุ้นปันผลเด่น เช่น
บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI คาดการณ์กําไรปกติปี 2568 ที่ 1.15 พันล้านบาท ลดลง 12% แม้มีความกังวลเรื่องปัจจัยเศรษฐกิจ แต่บริษัทมีปัจจัยหนุนจากสินค้าใหม่ ๆ ประกอบกับจ่ายปันผลจูงใจ
บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ให้คำแนะนำ “Outperform” ราคาเป้าหมาย 133 บาท โดยราคาหุ้นมีอัพไซด์และมีอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงสุดในกลุ่ม
บริษัท ทิสโก้ไฟแนนเชียลกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TISCO ให้ราคาเป้าหมาย 105 บาท แม้ราคาหุ้นมีอัพไซด์เหลืออยู่ไม่มาก แต่คาดการณ์อัตราผลตอบแทนเงินปันผลยังยืนระดับสูงได้ต่อเนื่องเกือบ 8% ต่อปี ประกอบกับ ROE สูงสุดในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ไทย ที่ 15-16%
บริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF คงแนะนํา “Outperform” ราคาเป้าหมาย 31 บาท
บริษัท เอพี (ไทยแลนด์) จำกัด (มหาชน) หรือ AP แนะนำ “Outperform” ราคาเป้าหมาย 10.30 บาท เป็นหุ้นเด่นของกลุ่มจากความน่าสนใจ ธีมดอกเบี้ยไทยขาลง แนวโน้มครึ่งหลังปี 2568 เติบโตมากขึ้น
บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ราคาเป้าหมาย 35 บาท จากความเสถียรภาพของผลการดําเนินงาน ซึ่งเป็นจุดแข็งของ PTT ที่มีการ Diversified Portfolioได้เป็นอย่างดี มีธุรกิจที่กําไรดีขึ้นมาช่วยชดเชยธุรกิจที่กําไรอ่อนตัวลงได้ทําให้ความผันผวนของกําไรจะต่ำ ภายใต้สถานการณ์ภาพรวมอุตสาหกรรมที่ยังไม่แข็งแรง อีกทั้งยังให้ปันผลสูง
บริษัท ปตท.สำรวจและผลิตปิโตรเลียม จำกัด (มหาชน) หรือ PTTEP โดยเชื่อราคาหุ้นในช่วงที่ผ่านมาปรับฐานไปแล้ว
บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA จากผลการดําเนินงานครึ่งปีหลังปี 68 ที่ยังมีแนวโน้มที่ดี
บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC ราคาเป้าหมาย 343 บาท และระยะถัดไปยังมีแนวโน้มสดใสต่อเนื่องในไตรมาส 3/2568 บวกกับยังมีปันผลในอัตราที่จูงใจ
และบริษัท กรุงเทพดุสิตเวชการ จำกัด (มหาชน) หรือ BDMS ราคาหุ้นที่ปรับลงแรงได้สะท้อนความผิดหวังต่อแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 3/2568 ไปแล้วพอสมควร แต่ยังมีประเด็นที่ต้องติดตามทั้งจากปัจจัยกดดันเศรษฐกิจภายในประเทศ, การชะลอตัวของผู้ป่วยต่างชาติ จากประเด็นความขัดแย้งระหว่างไทย-กัมพูชา
หากสถานการณ์คลี่คลายลงและมีทิศทางเชิงบวกมากขึ้น เชื่อว่าจะเป็นโอกาสที่ดีในการเข้าลงทุน