AOT วิ่งต่อ 2% รับแผนขึ้นค่า PSC เกิน 200 บาท ดันรายได้เพิ่มปีละ 1 หมื่นล้าน

AOT บวกเกือบ 2% หลังเร่งเครื่องเสนอปรับใหญ่ขึ้นค่า PSC มากกว่า 200 บาทต่อคน มั่นใจสร้างรายได้เพิ่มขึ้นปีละ 10,000 ล้านบาท “ปวีณา” ตั้งเป้ากำไรกลับสู่ระดับปกติก่อนโควิดที่ 25,000 ล้านบาท ภายใน 1-2 ปีนี้ ล่าสุดกรมท่าอากาศยานขึ้น PSC มีผล 1 ต.ค.นี้


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (30 ก.ย.68) ราคาหุ้น บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT ณ เวลา 11:20 น. อยู่ที่ระดับ 40.50 บาท บวก 0.75 บาท หรือ 1.89% สูงสุดที่ระดับ 40.75 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 39.75 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 723.84 ล้านบาท

โดยราคาหุ้น AOT ปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องวันนี้ หลังมีรายงานข่าว นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ (สายงานวิศวกรรมและการก่อสร้าง) ในฐานะรักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ AOT เปิดเผยกับ “ข่าวหุ้นธุรกิจ” ว่า ตนตั้งเป้าที่จะทำให้กำไรของบริษัทกลับไปสู่ระดับก่อนเกิดโควิดระบาดปี 2562 ที่ 25,000 ล้านบาทภายใน 1-2 ปีนี้

“มั่นใจว่าทำได้จะทำให้ AOT มีกำไรอย่างยั่งยืน เพิ่มรายได้ในส่วนของธุรกิจการบิน รวมทั้งธุรกิจที่เกี่ยวข้องทั้ง หมด พร้อมทั้งปรับลดรายจ่ายของบริษัท”

โดยบริษัทเตรียมเสนอคณะกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) ขอปรับขึ้นค่าธรรมเนียมสนามบิน ผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ และค่าธรรมเนียมสนามบิน ผู้โดยสารขาออกในประเทศ หรือ Passenger Service Charges (PSC) ท่าอากาศยานทั้ง 6 แห่ง ได้แก่ สุวรรณภูมิ, ดอนเมือง, เชียงใหม่, หาดใหญ่, ภูเก็ต และแม่ฟ้าหลวง เบื้องต้นจะเพิ่มขึ้นมากกว่า 200 บาทต่อคน แบ่งเป็น PSC จากโดยผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ ปัจจุบันจัดเก็บที่ 730 บาทต่อคน และผู้โดยสารขาออกในประเทศ ปัจจุบันเก็บ 130 บาทต่อคน

“เดิมเราจะขอปรับขึ้นค่า PSC ปีนี้ 2 ครั้ง ครั้งแรกที่เสนอไปแล้วขอขึ้น 5 บาทต่อคน และครั้งที่สองจะเสนอเพิ่มค่า PSC อีกเกินกว่า 100 บาทต่อคนช่วงเดือน ต.ค.แต่ยังไม่ได้อนุมัติที่เราขอครั้งแรก เนื่องจากต้องรอแต่งตั้งกรรมการการบินพลเรือน (กบร.) คนใหม่ เรื่องค้างอยู่ที่ ครม.ขณะนี้ ดังนั้นจึงตัดสินใจที่จะเสนอใหม่ครั้งเดียวรวมกันมากกว่า 200 บาทต่อเดือนไปเลยเพื่อให้กระบวนการพิจารณารวดเร็วไม่ต้องเสนอหลายครั้ง เนื่องจากปัจจุบัน AOT ต้องแบกภาระขาดทุนจากค่า PSC  จำนวนมาก” นางสาวปวีณา กล่าว

นางสาวปวีณา ประเมินว่า หากปรับขึ้นค่า PSC จากโดยผู้โดยสารระหว่างประเทศทุก ๆ 100  บาทต่อคน จะทำให้รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้น 3,500 ล้านบาทต่อปี และปรับขึ้นค่า PSC จากผู้โดยสารขาออกในประเทศทุก ๆ  100 บาทต่อคน จะทำให้รายได้ของบริษัทเพิ่มขึ้น 2,000 ล้านบาทต่อปี รวมทั้งหมดรายได้จะเพิ่มขึ้น 5,500 ล้านบาทต่อปี และหากขึ้น 200 บาทต่อคน รายได้รวมจะเพิ่มขึ้น 11,000 ล้านบาทต่อปี

ขณะที่อัตราค่า PSC ที่จัดเก็บอยู่ในปัจจุบันส่งผลให้ AOT มีผลขาดทุนจากต้นทุนการดำเนินงาน ผู้โดยสารระหว่างประเทศ ในอัตรา 200 บาทต่อคน และผู้โดยสารในประเทศ ในอัตรา 50 บาทต่อคน เฉลี่ยขาดทุน 125 บาทต่อคน

โดยเป้าหมายการใช้เงินทุน รายได้ที่เพิ่มขึ้นจะถูกนำไปลงทุนเพื่อ “ขยายสนามบิน” นำเทคโนโลยีที่ทันสมัยมาใช้ และปรับปรุงสิ่งอำนวยความสะดวกให้ดียิ่งขึ้น เพื่อยกระดับประสบการณ์ของผู้โดยสารและเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันกับท่าอากาศยานชั้นนำของโลก

ส่วนการแก้ปัญหาสัญญาการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรในท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ AOT กับกลุ่มบริษัทคิง เพาเวอร์ คาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในเดือน ต.ค.นี้

นางสาวปวีณา ยังได้เปิดเผยถึงแผนงานใหม่ที่ปรับเปลี่ยนแนวทางการลงทุนภายใต้แนวคิด “Smart Investment” โดยระบุว่า ไม่ได้มีการลดงบประมาณโครงการต่าง ๆ แต่เป็นการปรับเปลี่ยนเวลาการลงทุนให้มีความเหมาะสม ได้ผลลัพธ์ที่แม่นยำ และใช้เงินอย่างคุ้มค่าที่สุด

สำหรับความคืบหน้าโครงการขนาดใหญ่ที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ทั้ง 2 โครงการ ได้แก่ ส่วนต่อขยายอาคารผู้โดยสารด้านทิศตะวันออก (East Expansion) มูลค่าประมาณ 12,000 ล้านบาท และอาคารผู้โดยสารด้านทิศใต้ (South Terminal) มูลค่าประมาณ 120,000 ล้านบาทนั้น รอการประชุมและพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) โดยเรื่องอยู่ที่สำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีแล้ว

ทั้งนี้โครงการ East Expansion เพิ่มศักยภาพรองรับผู้โดยสารอีก 15 ล้านคนต่อปี โดยคาดว่าจะสามารถเริ่มเปิดประมูลได้ช่วงต้นปี 2569 และใช้เวลาก่อสร้างประมาณ 4 ปี ขณะที่โครงการ South Terminal ตามแผนแม่บทใหม่จะรองรับได้สูงสุด 55 ล้านคนต่อปี ทำให้สุวรรณภูมิรองรับได้รวม 120 ล้านคนต่อปี

ส่วนการก่อสร้างท่าอากาศยานล้านนา (เชียงใหม่แห่งที่ 2) และ ท่าอากาศยานอันดามัน (ภูเก็ตแห่งที่ 2) นั้น ยังอยู่ในขั้นตอนเริ่มต้นและยังไม่มีการสรุปว่าจะดำเนินการก่อสร้างเลยหรือไม่ หรือจะใช้วิธีขยายสนามบินเดิมแทน ขณะนี้อยู่ในช่วงของ Pre-Feasibility Study (Pre-FS study) ซึ่งยังไม่เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี (ครม.) กระบวนการสำหรับโครงการสนามบินใหม่นั้นต้องใช้เวลานาน โดยเฉพาะขั้นตอนที่สำคัญที่สุดคือ การจัดหาที่ดิน หากไม่สามารถจัดหาได้ โครงการก็ไม่สามารถเดินหน้าต่อได้ โดยเตรียม “แผน B” ที่มีการดำเนินการคู่ขนานกันไป คือ การขยายท่าอากาศยานภูเก็ต เดิมเพื่อรองรับการเติบโต

ทอท.จะดำเนินการผลักดันโครงการลงทุนต่าง ๆ ตามแผนแม่บทที่ปรับปรุงใหม่ ซึ่งมุ่งเน้นให้การลงทุนแต่ละส่วนสามารถตอบโจทย์ความต้องการในการรองรับผู้โดยสารและการเติบโตของอุตสาหกรรมการบินได้อย่างมีประสิทธิภาพและคุ้มค่าที่สุด

ขณะที่ นายพิพัฒน์ รัชกิจประการ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ได้มอบหมายให้นายชยธรรม์ พรหมศร ปลัดกระทรวงคมนาคม ให้รวบรวมรายละเอียดการปรับค่าบริการผู้โดยสารขาออก (PSC) ที่บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT เสนอมารายงานให้รับทราบก่อน และจะมีการพิจารณาเรื่องค่า PSC ให้แน่นอน

นายสิทธิเดช มัยลาภ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สกาย ไอซีที จำกัด (มหาชน) หรือ SKY กล่าวว่า เห็นด้วยกับการปรับขึ้นค่าบริการผู้โดยสารขาออก (PSC) สนามบินในประเทศไทย ถือว่าต่ำเมื่อเทียบกับสนามบินชางงี (สิงคโปร์) และสนามบินเช็กแลปก๊อก (ฮ่องกง) จัดเก็บในอัตรา  1,200 -1,400 บาท

ล่าสุดกรมท่าอากาศยาน  เตรียมปรับขึ้นค่าบริการผู้โดยสารขาออก (Passenger Service Charge-PSC) ในสนามบินภูมิภาค 6 แห่ง ที่อยู่ในความรับผิดชอบ ได้แก่ ท่าอากาศยานกระบี่, ท่าอากาศยานสุราษฏร์ธานี, ท่าอากาศยานอุบลราชธานี, ท่าอากาศยานขอนแก่น, ท่าอากาศยานนครศรีธรรมราช และท่าอากาศยานพิษณุโลก

โดยกรมท่าอากาศยานจะเรียกเก็บค่า PSC ผู้โดยสารเพิ่มอีก 25 บาท เริ่มตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2568 แบ่งเป็น ผู้โดยสารระหว่างประเทศ จากคนละ 400 บาท เป็นคนละ 425 บาท และผู้โดยสารภายในประเทศ จากคนละ 50 บาท เป็นคนละ 75 บาท

Back to top button