
“ศุภจี” โชว์วิสัยทัศน์! กางแผนรัฐบาล 4 เดือน ลุยเจรจาการค้า-ลดค่าครองชีพ-อุ้มเกษตรกร
“ศุภจี สุธรรมพันธุ์” ชี้แจงสภาฯ ครั้งแรก ในฐานะ รมว.พาณิชย์ เดินหน้าลดค่าครองชีพ ดูแลเกษตรกร เร่งเจรจาการค้า ART–FTA ปกป้องผู้ประกอบการไทย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 29 กันยายน 2568 นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ชี้แจงต่อที่ประชุมรัฐสภา ในการแถลงนโยบายรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย โดยกล่าวถึงนโยบายและภารกิจสำคัญของรัฐบาลในหลายประเด็น ทั้งการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ มาตรการลดค่าครองชีพ การป้องกันสินค้าด้อยคุณภาพและธุรกิจนอมินี การเพิ่มขีดความสามารถ SMEs รวมถึงการดูแลสินค้าเกษตร
ขณะเดียวกัน ยังเปิดเผยถึงความคืบหน้าการเจรจาภาษีต่างตอบแทน (Reciprocal Tariffs) กับสหรัฐอเมริกา ว่า ไทยได้สรุปแถลงการณ์ร่วม (Joint Statement) เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2568 และตั้งเป้าสรุปความตกลงการค้าต่างประเทศ (Agreement on Reciprocal Trade: ART) ภายในสิ้นปีนี้ ครอบคลุมทั้งสินค้า บริการ และการลงทุน โดยย้ำว่าจะดำเนินการอย่างรอบคอบ ไม่ให้กระทบภาคการผลิตและตลาดในประเทศ
ด้านการออกหนังสือรับรองถิ่นกำเนิดสินค้า (C/O) กระทรวงพาณิชย์มอบหมายให้กรมการค้าต่างประเทศเป็นหน่วยงานกลาง พร้อมเพิ่มรายการเฝ้าระวังเป็น 65 รายการ ใช้ระบบ AI ตรวจสอบและป้องกันการปลอมแปลงอย่างเข้มงวด ส่งผลให้การปลอมแปลง Form C/O ลดลงจาก 149 ฉบับในปี 2565 และ 168 ฉบับในปี 2566 เหลือเพียง 5 ฉบับในปี 2567 และยังไม่พบการปลอมแปลงในปี 2568
นอกจากนี้ ไทยใช้มาตรการตอบโต้การทุ่มตลาด (AD) 31 กรณี และถูกใช้จากต่างประเทศ 73 กรณี มาตรการหลบเลี่ยง (AC) ใช้ 6 กรณี ถูกใช้ 4 กรณี ส่วนมาตรการปกป้อง (SG) ยังอยู่ระหว่างการไต่สวน ขณะที่มาตรการตอบโต้การอุดหนุน (CVD) ไทยยังไม่ใช้ แต่ถูกใช้กับไทย 7 กรณี โดยสหรัฐฯ
ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์ได้เร่งปรับปรุงกระบวนการเพื่อให้ผู้ประกอบการไทยรับมือได้รวดเร็วขึ้น เช่น ลดเวลารับคำร้องจาก 4 เดือนเหลือ 1 เดือน ใช้ AI วิเคราะห์ข้อมูล และลดเวลาการไต่สวนจาก 12 เดือนเหลือ 9 เดือน
สำหรับการแก้ปัญหาสินค้าด้อยคุณภาพและธุรกิจนอมินี รัฐบาลสามารถจัดเก็บ VAT จากสินค้านำเข้ารายย่อยกว่า 2,175 ล้านบาท ดำเนินคดีผู้กระทำผิดกว่า 81,719 คดี ตรวจสอบสินค้าออนไลน์กว่า 54,000 รายการ พร้อมใช้ AI คุมเข้มตลาดอีคอมเมิร์ซ
ด้านค่าครองชีพ ได้จัดโครงการมหกรรมธงฟ้าและลดราคาสินค้ากว่า 1,300 ครั้ง ลดค่าครองชีพกว่า 5,000 ล้านบาท และร่วมมือโรงพยาบาลเอกชนเปิดเผยค่ายา อนุญาตให้ซื้อยาภายนอก ลดค่าใช้จ่ายรวม 32,400 ล้านบาท พร้อมควบคุมราคายาและเวชภัณฑ์จำเป็นกว่า 1,100 ล้านบาท
สำหรับสินค้าเกษตร โดยเฉพาะข้าว ปีการผลิต 2568/69 โลกมีผลผลิต 541 ล้านตัน ใกล้เคียงความต้องการบริโภค 542 ล้านตัน แต่ยังมีสต๊อกคงเหลือ 187 ล้านตัน และอินเดียระบายข้าวสต๊อก 20 ล้านตันออกสู่ตลาดโลกกดดันราคา ส่งผลกระทบต่อไทย โดยไทยจะมีผลผลิตรวม 21.8 ล้านตัน บวกสต๊อกต้นปี 3.5 ล้านตัน รวม 25.3 ล้านตัน แบ่งเป็นข้าวหอมมะลิ 6.8 ล้านตัน การบริโภคในประเทศ 7.4 ล้านตัน การส่งออก 5.9 ล้านตัน และสำรองเพื่อความมั่นคง 3.4 ล้านตัน เหลือข้าวส่วนเกิน 1.8 ล้านตัน ซึ่งเป็นโจทย์สำคัญในการบริหารจัดการ
รัฐบาลจึงวางแผนรับมือทั้งระยะสั้นและระยะยาว โดยเร่งดำเนินมาตรการรองรับผลผลิต 8.5 ล้านตัน ภายใน 4 เดือน เช่น สินเชื่อชะลอการขาย 3 ล้านตัน สนับสนุนสถาบันเกษตรกรรวบรวมและแปรรูป 1.5 ล้านตัน เพิ่มสภาพคล่องผู้ประกอบการ 4 ล้านตัน และช่วยเหลือเกษตรกรไร่ละ 1,000 บาท ครัวเรือนละไม่เกิน 10 ไร่ รวมถึงลดราคาปุ๋ยและสารเคมีผ่าน “ธงเขียว”
ในด้านการส่งออก เร่งผลักดันการขายข้าวแบบรัฐต่อรัฐ (G2G) โดยเฉพาะกับจีน ภายใต้ MOU เดิม 280,000 ตัน เสนอขยายเป็น 500,000 ตัน รวมทั้งทำ MOU ใหม่กับสิงคโปร์ รักษาตลาดญี่ปุ่นไม่น้อยกว่า 300,000 ตันต่อปี และขยายตลาดใหม่ เช่น ซาอุดีอาระเบีย พร้อมผลักดันข้าวอินทรีย์ในยุโรปและข้าวหอมมะลิในสหรัฐฯ
ขณะเดียวกัน เร่งช่วยผู้ประกอบการใน 7 จังหวัดชายแดนไทย–กัมพูชา ผ่านโครงการธงฟ้า เพิ่มตลาดออนไลน์ และกิจกรรมการค้าชายแดน รวมถึงการจับคู่ธุรกิจใหม่กับผู้ให้บริการโลจิสติกส์
สำหรับ FTA รัฐบาลตั้งเป้าบรรลุข้อตกลงกับอียูและเกาหลีใต้ภายในรัฐบาลนี้ และเน้นให้ภาคเอกชนใช้สิทธิประโยชน์จริง โดยจะสนับสนุนความรู้และเร่งหาตลาดใหม่ในตะวันออกกลาง แอฟริกา อาเซียน และเอเชียใต้
“ถึงแม้จะมีเวลาเพียง 4 เดือน แต่เชื่อมั่นว่าจะมีผลสัมฤทธิ์เป็นรูปธรรม ปรากฏเป็น KPI ให้ทุกท่านติดตาม และพร้อมหารือเพื่อร่วมมือสร้างศักยภาพให้ประเทศไทยอย่างมั่นคงและยั่งยืน” นางศุภจี กล่าวทิ้งท้าย