
TU ยอดจองหุ้นกู้ยั่งยืนล้น 3.68 เท่า ย้ำสัมพันธ์ “มิตซูบิชิ” มั่นคง
TU ปลื้มยอดจองหุ้นกู้ยั่งยืนท่วมท้น 3 เท่าตัว สะท้อนความเชื่อมั่นนักลงทุน พร้อมโชว์ศักยภาพการเงินแข็งแกร่งปิดดีลเงินกู้ยั่งยืนครบแผง รวม 2.4 หมื่นล้านบาท ดันเป้าหมาย Blue Finance ปี 68 ทะลุเป้า ส่วนประเด็น Mitsubishi ยกเลิกคำเสนอซื้อหุ้น แต่ความร่วมมือเชิงกลยุทธ์ยังคงเดินหน้าต่อเนื่อง ลุยผลิตและแปรรูปแซลมอน พร้อมเสริมเครือข่ายจัดจำหน่ายทั่วโลก
บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU ผู้นำอุตสาหกรรมอาหารทะเลระดับโลกประกาศความสำเร็จในการออกหุ้นกู้เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อม (ทรัพยากรทางทะเล) (Blue Bond) หุ้นกู้ส่งเสริมความยั่งยืน (Sustainability-Linked Bond หรือ SLB) และสินเชื่อที่เชื่อมโยงกับการดำเนินงานด้านความยั่งยืน (Sustainability-Linked Loan หรือ SLL) ไปพร้อมกัน การออกหุ้นกู้ครั้งนี้ได้รับความสนใจล้นหลามจากนักลงทุน ด้วยยอดจองซื้อทะลุเป้าถึง 3.68 เท่า จากเป้าหมายการระดมทุนที่ 7,000 ล้านบาท จึงได้เพิ่มมูลค่าการออกหุ้นกู้เป็น 9,000 ล้านบาท
การระดมทุนในครั้งนี้ทั้งหมด ส่งผลให้ไทยยูเนี่ยนบรรลุเป้าหมาย Blue Finance หรือการบริหารจัดการการเงินเพื่อการทำงานด้านการอนุรักษ์ท้องทะเล โดยสามารถระดมทุนจากแหล่งเงินทุนที่เชื่อมโยงกับความยั่งยืนได้เกินเป้าหมายปี 2568 ซึ่งกำหนดไว้ที่ 75% ของเงินกู้ยืมระยะยาวเป็นระดับที่ 80% พร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมาย 100% ภายในปี 2573
นายธีรพงศ์ จันศิริ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร TU กล่าวว่า ความสำเร็จในครั้งนี้ ถือเป็นการตอกย้ำวิสัยทัศน์ของเรา และสะท้อนจุดยืนที่ชัดเจนถึงการเป็นผู้นำด้านความยั่งยืน ควบคู่ไปกับการรักษาความแข็งแกร่งทางการเงิน โดยนอกจากความสำเร็จด้านการระดมทุนแล้ว แรงสนับสนุนและความไว้วางใจจากนักลงทุนยังช่วยผลักดันให้ไทยยูเนี่ยนเดินหน้ากลยุทธ์ทางการเงินให้มีความสอดคล้องกับเป้าหมายด้านความยั่งยืน SeaChange® 2030 และพันธกิจของเราในการมุ่งสร้างสุขภาพที่ดี และท้องทะเลที่อุดมสมบูรณ์ “Healthy Living, Healthy Oceans” เพื่อขับเคลื่อนอนาคตที่เท่าเทียมและยั่งยืนสำหรับอุตสาหกรรมอาหารทะเลทั่วโลก
ทั้งนี้ ธุรกรรมล่าสุดในเดือนกันยายน มีมูลค่ารวม 19,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสินเชื่อ SLL จำนวน 10,000 ล้านบาท และหุ้นกู้จำนวน 9,000 ล้านบาท จากกลุ่มพันธมิตรสถาบันการเงินชั้นนำ โดยนับเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่มีการออกหุ้นกู้แบบผสมผสานระหว่าง หุ้นกู้ Blue Bond และหุ้นกู้ SLB ซึ่งได้รับความต้องการที่ล้นหลามจากนักลงทุน ส่งผลให้ยอดจองหุ้นกู้สูงเกินกว่ายอดเสนอขาย ทำให้ไทยยูเนี่ยนสามารถกำหนดอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำสุดของช่วงเสนอขายในทุกช่วงอายุของหุ้นกู้ ซึ่งถือเป็นอัตราดอกเบี้ยในระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ของบริษัท สะท้อนความเชื่อมั่นของตลาดต่อสถานะทางการเงินและวิสัยทัศน์ด้านความยั่งยืนของบริษัท โดยมีการกำหนดอัตราดอกเบี้ยดังต่อไปนี้
หุ้นกู้ อายุ 4 ปี อัตราดอกเบี้ย 1.70%
หุ้นกู้ อายุ 7 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.20%
หุ้นกู้ อายุ 10 ปี อัตราดอกเบี้ย 2.46%
นอกจากนี้ สถานะทางการเงินของไทยยูเนี่ยนยังคงอยู่ในระดับที่แข็งแกร่ง โดยล่าสุดบริษัทได้รับการประกาศคงอันดับเครดิตองค์กรและหุ้นกู้ไม่ด้อยสิทธิ ไม่มีหลักประกัน จาก บริษัท ทริสเรทติ้ง จำกัด ไว้ที่ระดับ A+ ต่อเนื่อง
นายยงยุทธ เสฏฐวิวรรธน์ กรรมการผู้จัดการ ฝ่ายการบริหารการเงินกลุ่มและศูนย์บริการร่วมทางการเงิน TU กล่าวว่า ไทยยูเนี่ยนสามารถระดมทุนด้วยต้นทุนการกู้ยืมที่ต่ำที่สุดในประวัติการณ์ของบริษัท ซึ่งเป็นผลลัพธ์ที่เกินความคาดหมายสำหรับเรา ความสำเร็จนี้สะท้อนความเชื่อมั่นของตลาดต่อความแข็งแกร่งด้านการเงินและทิศทางกลยุทธ์ของบริษัท การออกหุ้นกู้ที่มีโครงสร้างแบบผสมผสาน ซึ่งเป็นครั้งแรกในประเทศไทย และยอดจองหุ้นกู้ที่สูงกว่ายอดเสนอขายนั้น สะท้อนชัดเจนถึงความต้องการที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องสำหรับผลิตภัณฑ์ทางการเงินเพื่อความยั่งยืนที่มีความซับซ้อน เราขอขอบคุณนักลงทุนทุกท่านสำหรับการสนับสนุนเป็นอย่างดีตลอดมา
สถาบันการเงินที่มีบทบาทในการจัดจำหน่ายหุ้นกู้และให้สินเชื่อในครั้งนี้ ได้แก่ ธนาคารกรุงศรีอยุธยา จำกัด (มหาชน) และธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) (สำหรับทั้งหุ้นกู้และสินเชื่อ) ธนาคารเกียรตินาคินภัทร จำกัด (มหาชน) ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) และ ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) (สำหรับหุ้นกู้) และธนาคารแห่งประเทศจีน (ฮ่องกง) จำกัด ธนาคารแห่งประเทศจีน (ไทย) จำกัด (มหาชน) ธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทย ธนาคาร มิซูโฮ จำกัด ธนาคารโอเวอร์ซี-ไชนีส แบงกิ้งคอร์ปอเรชั่น จำกัด สาขาสิงคโปร์ ธนาคารซูมิโตโม มิตซุย แบงกิ้ง คอร์ปอเรชั่น ธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศไทย และธนาคารเอชเอสบีซี ประเทศสิงคโปร์ (สำหรับสินเชื่อ)
ขณะที่เมื่อเดือนพฤษภาคม ที่ผ่านมา ไทยยูเนี่ยนยังได้รับเงินกู้เพื่อสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนทางทะเล (Blue Loan) มูลค่า 5,000 ล้านบาท จากธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) และกลุ่มธนาคารพันธมิตร ซึ่งนับเป็นครั้งแรกของอุตสาหกรรมอาหารทะเลในประเทศไทย เพื่อสนับสนุนการเพาะเลี้ยงกุ้งอย่างยั่งยืนและการรับรองมาตรฐานสำหรับเกษตรกรกุ้ง ความสำเร็จทั้งหมดนี้ส่งผลให้ไทยยูเนี่ยนสามารถระดมทุนเพื่อความยั่งยืนทางทะเล รวมทั้งสิ้น 24,000 ล้านบาทในปี 2568
ตราสารทางการเงินเหล่านี้มีบทบาทในการช่วยขับเคลื่อนกลยุทธ์ SeaChange® 2030 ของบริษัท ผ่านการสนับสนุนเป้าหมายด้านความยั่งยืนที่สำคัญ เช่น การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำอย่างมีความรับผิดชอบ และการลงทุนในโครงการที่เกี่ยวข้องกับความยั่งยืนของมหาสมุทร โดยหุ้นกู้ SLB จะได้รับประโยชน์ทางการเงินเมื่อองค์กรสามารถบรรลุเป้าหมายที่กำหนด ขณะที่หุ้นกู้ Blue Bond นั้นมุ่งเน้นการจัดสรรเงินทุนโดยตรงไปยังโครงการอนุรักษ์ทรัพยากรทางทะเลและส่งเสริมเศรษฐกิจสีน้ำเงิน
นายยงยุทธ เสฏฐวิวรรธน์ ยังกล่าวชี้แจงถึงกรณีที่ Mitsubishi ประกาศยกเลิกคำเสนอซื้อหุ้นของ TU ว่า เดิมที Mitsubishi มีความประสงค์ที่จะเพิ่มสัดส่วนการถือหุ้นจากปัจจุบันประมาณ 5-6% เป็น 20% โดยมีเหตุผลหลักเพื่อให้สามารถมีส่วนร่วมในผลประกอบการของบริษัทในระดับที่ชัดเจนมากขึ้น ผ่านการรับรู้ผลกำไรจากสัดส่วนการถือหุ้น (profit sharing) ไม่ใช่เพียงการรับเงินปันผลเท่านั้น
ดังนั้น จึงได้มีการประกาศทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ทั่วไป โดยมีการกำหนดเงื่อนไขชัดเจนตั้งแต่ต้นว่า หากไม่สามารถรวบรวมหุ้นได้ครบตามเป้าหมายจนทำให้ถือหุ้นได้ถึง 20% คำเสนอซื้อนี้ก็จะถูกยกเลิก
ขณะที่ ความร่วมมือระหว่างไทยยูเนี่ยนกับ Mitsubishi จะยังคงดำเนินต่อไปตามปกติ แม้ว่าจะยกเลิกคำเสนอซื้อหุ้นในครั้งนี้ก็ตาม
ทั้งนี้ Mitsubishi ถือเป็นผู้ถือหุ้นเชิงกลยุทธ์ (Strategic Shareholder) ของไทยยูเนี่ยนมาตั้งแต่ปี 2534 หรือกว่า 30 ปี โดยในช่วงเวลาที่ผ่านมาได้ถือหุ้นในสัดส่วน 5-8% และมีตัวแทนนั่งในคณะกรรมการบริษัทอย่างต่อเนื่อง ความร่วมมือระหว่างทั้งสองฝ่ายมีความหลากหลาย อาทิ การผลิตและแปรรูปปลาแซลมอนจากฟาร์มของ Mitsubishi ในชิลี นอร์เวย์ และแคนาดา
โดย Mitsubishi นับเป็นผู้ผลิตแซลมอนรายใหญ่อันดับ 2 ของโลก ไทยยูเนี่ยนเป็นผู้แปรรูปและส่งออกผลิตภัณฑ์แซลมอนดังกล่าวกลับไปยัง Mitsubishi เพื่อจำหน่ายต่อผ่านเครือข่ายจัดจำหน่ายของบริษัท นอกจากนี้ ไทยยูเนี่ยนยังมีการผลิตกุ้งและสินค้าอาหารทะเลแปรรูปอื่น ๆ เพื่อจำหน่ายให้อีกด้วย
“การที่มิตซูบิชิประกาศยกเลิกคำเสนอซื้อในครั้งนี้ จึงเป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ไม่ได้เกิดจากปัจจัยอื่นเพิ่มเติม ทั้งนี้ การที่นักลงทุนส่วนใหญ่ไม่ได้ตอบรับการขายหุ้นในราคาที่เสนอ อาจสะท้อนให้เห็นถึงความเชื่อมั่นของผู้ถือหุ้นต่อศักยภาพและมูลค่าในอนาคตของบริษัท ว่าจะสามารถสร้างผลตอบแทนได้ดีกว่าระดับราคาที่เสนอซื้อในครั้งนี้” นายยงยุทธ กล่าว