“ศุภวุฒิ” จี้ปลดล็อกทุนสำรองล้น 9 ล้านลบ. เสนอดึง 3.3 ล้านลบ. ตั้งกองทุนมั่งคั่ง

ประธานสภาพัฒนาเศรษฐกิจฯ ชี้ทุนสำรองไทยสูงเกินจำเป็นล้น 9 ล้านล้านบาท เก็บไว้ไม่เกิดประโยชน์ เสนอใช้บางส่วนจำนวน 3.3 ล้านล้านบาท ตั้งกองทุนมั่งคั่งแบบสิงคโปร์ สร้างผลตอบแทน 5–6% และต่อยอดศักยภาพเศรษฐกิจระยะยาว


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (30 ก.ย.68) ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ กล่าวถึงสถานการณ์เศรษฐกิจไทย ในเวทีเสวนา ประเทศไทยต้องรอด Save Thailand: Restore, Reframe, RISE ซึ่งจัดโดยสำนักข่าว Thai Publica

โดย ดร.ศุภวุฒิ ชี้ว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยชะลอตัวลงต่อเนื่อง ขณะที่อัตราเงินเฟ้อและการขาดดุลงบประมาณเพิ่มขึ้น สวนทางกับดุลบัญชีเดินสะพัดที่ยังเกินดุล สะท้อนกำลังซื้อในประเทศถดถอย ขณะเดียวกันยังมีเงินทุนไหลออกต่อเนื่อง บ่งชี้ว่าไทยไม่ขาดแคลนเงินทุน หากแต่ส่งออกเงินทุนด้วยซ้ำ

ประธานสภาพัฒนาเศรษฐกิจฯ กล่าวเน้นย้ำถึงประเด็น เงินทุนสำรองระหว่างประเทศ ว่า ประเทศไทยมีทุนสำรองสูงเกินความจำเป็น โดยปัจจุบันอยู่ที่ราว 9 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็น 239.2% ของเกณฑ์ IRA ซึ่งสูงกว่าระดับที่กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประเมินไว้ถึง 139% ถือว่าเป็นการเก็บไว้โดยไม่ได้ก่อให้เกิดประโยชน์ทางเศรษฐกิจ

“ไทยควรมีการนำเงินทุนสำรองระหว่างประเทศมาใช้ประโยชน์ เรื่องนี้คนธนาคารแห่งประเทศไทยฟังแล้วอาจไม่พอใจ” ดร.ศุภวุฒิ ระบุ

ประธานสภาพัฒนาเศรษฐกิจฯ เสนอว่า หากดึงเงินออกมาเพียง 1 แสนล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3.3 ล้านล้านบาท เพื่อตั้งเป็นกองทุนมั่งคั่ง (Sovereign Wealth Fund) เช่นเดียวกับที่สิงคโปร์เคยทำเมื่อ 50 ปีก่อน ก็จะสามารถต่อยอดสร้างผลตอบแทนให้ประเทศได้อย่างมหาศาล พร้อมยกตัวอย่างว่ากองทุนมั่งคั่งของสิงคโปร์ปัจจุบันมีสินทรัพย์กว่า 8 แสนล้านดอลลาร์ และส่งรายได้กลับเข้ารัฐคิดเป็น 20% ของรายได้ประจำปี

ขณะเดียวกัน ไทยยังควร “ปลดล็อก” การใช้ทุนสำรองบางส่วน เพื่อสร้างผลตอบแทนไม่น้อยกว่า 5-6% โดยอ้างอิงจากกรณีศึกษากองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) ที่ลงทุนต่างประเทศราว 30-40% ของพอร์ต และสร้างผลตอบแทนได้ดีต่อเนื่อง

ดร.ศุภวุฒิ ย้ำว่า การใช้ทุนสำรองอย่างมีประสิทธิภาพไม่เพียงช่วยกระตุ้นการลงทุนภาคเอกชน แต่ยังเป็นการสร้างความยั่งยืนให้เศรษฐกิจไทยในระยะยาว

Back to top button