พาราสาวะถี

หากจะถามตามประสาคนรุ่นใหม่ไปยัง ไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือดีอี ต่อการ ปูดปมมีคนเสนอเงินให้ 40 ล้านบาทต่อเดือน เพื่อแลกกับการไม่ตามจับแก๊งคอลเซ็นเตอร์


หากจะถามตามประสาคนรุ่นใหม่ไปยัง ไชยชนก ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมหรือดีอี ต่อการ ปูดปมมีคนเสนอเงินให้ 40 ล้านบาทต่อเดือน เพื่อแลกกับการไม่ตามจับแก๊งคอลเซ็นเตอร์ เป็นการพูดเพื่อเอาเท่ หรือแค่ดิสเครดิตฝ่ายตรงข้าม ได้ปรึกษาหรือถามผู้เป็นพ่อที่ช่ำชองทางการเมืองอย่าง เนวิน ชิดชอบ หรือไม่ เมื่อพูดออกมาแล้ว ต้องไปแจ้งความดำเนินคดีกับผู้ที่เสนอเงินดังกล่าวด้วย เพราะถือว่าความผิดสำเร็จแล้ว ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 144

โดยมาตรา 144  ระบุไว้ชัด ผู้ใดให้ ขอให้หรือรับว่าจะให้ทรัพย์สิน หรือประโยชน์อื่นใดแก่เจ้าพนักงาน สมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งรัฐ สมาชิกสภาจังหวัดหรือสมาชิกสภาเทศบาล เพื่อจูงใจให้กระทำการ ไม่กระทำการ หรือประวิงการกระทำอันมิชอบด้วยหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าแค่ปูดเพื่อเปิดประเด็นให้สังคมมองอีกฝ่ายเสียหายในทางการเมือง เช่นนี้ ถือว่าไม่สมกับความเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ที่ต้องทำการเมืองอย่างสร้างสรรค์

ที่แน่ ๆ อยากจะเห็นนักร้องทั้งหลายไปดำเนินการต่อในประเด็นนี้ จะไปยื่นร้องเอาผิดรัฐมนตรีหนุ่มรายนี้ถ้าไม่ไปแจ้งความเอาผิดฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ตามมาตรา 157 หรืออะไรก็ตาม แม้กระทั่งองค์กรที่เกี่ยวข้องกับการป้องกันและปราบปรามการทุจริตอย่าง ป.ป.ช. นิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงวัฒนธรรมก็บอกว่า ควรจะเข้าไปดำเนินการไต่สวนในเรื่องนี้ เพราะถือเป็นเรื่องสำคัญ ประชาชน สังคม ให้ความสนใจ ไม่จำเป็นต้องรอให้ใครไปยื่นร้อง

คำถามต่อมาที่ไม่ใช่เฉพาะนิพิฏฐ์เท่านั้นแสดงความกังวล สังคมส่วนใหญ่ก็คงไม่ต่างกัน หลังจากเกิดรัฐบาลมีเส้น ทำให้มีข้อกังขาว่า บรรดาองค์กรอิสระทั้งหลายถูกควบคุมโดยบางพรรคการเมืองหรือเปล่า อาจจะเข้าอีหรอบเดิมในยุคของเผด็จการ คสช.เรืองอำนาจ จนเป็นที่มาของความระแวง ไม่ไว้วางใจในกระบวนการนิติสงคราม เห็นได้ชัดจากกรณีแหวนแม่นาฬิกาเพื่อน ที่ทำให้ อดีตกรรมการ ป.ป.ช. 3 คนมีคดีคาอยู่ในศาลขณะนี้ ด้วยข้อหาไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลในการไต่สวนตามที่ วีระ สมความคิด ร้องขอโดยศาลได้มีคำสั่งถึงที่สุดไปแล้ว

การเมืองยุคนี้แล้ว ไม่ใช่ประเภทกล่าวหาแบบไร้หลักฐาน พูดกันลอย ๆ ในฐานะลูกชายควรจะจำบทเรียนของผู้เป็นพ่อที่กว่าจะล้างภาพ “ห้อยร้อยยี่สิบ” ต้องใช้เวลานานขนาดไหน ดังนั้น จึงไม่ควรใช้การเมืองแบบโสมมเพื่อหวังที่จะเหยียบย่ำอีกฝ่ายโดยปราศจากข้อเท็จจริง มันจะเป็นการทำลายอนาคตของตัวเองโดยไม่รู้ตัว หากคิดว่าพรรคนี้ยังจะครองความยิ่งใหญ่ไปอีกนาน ก็ควรรีบที่จะจัดการเรื่องนี้ทำให้คนส่วนใหญ่เห็นว่า ตัวละครที่พูดมีตัวตน ไม่ใช่ยกเมฆเท่ากับโกหกหน้าตาย นั่นเอง

บอกตั้งแต่ต้นแล้วว่า การได้ เอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาส มาเป็นขุนคลังของรัฐบาล 4 เดือน นโยบายเรือธงคนละครึ่งจะเดินได้เร็วอย่างที่ อนุทิน ชาญวีรกูล นายกฯ คาดหวังไว้แน่นอน ยืนยันแล้วจะมีการนำเสนอหลักการต่อที่ประชุมครม.ได้ในสัปดาห์หน้า จากนั้นจะสามารถเปิดให้คนลงทะเบียนได้กลางเดือน และ เริ่มโครงการได้ทันที 29 ตุลาคมนี้ เมื่อไม่มีข้อกังวลเรื่องเสียงทักท้วงหรือการร้องเรียน ต่อให้มีก็เชื่อว่าปลายทางจะไร้ปัญหา ดังนั้น จึงสามารถเดินหน้าได้ทันที

แน่นอนว่า เป็นเรื่องที่ถูกใจประชาชน มิหนำซ้ำ ยังเอาใจคนที่เสียภาษีด้วยการหยอดเงินเพิ่มให้เล็กน้อย ดูจากไทม์ไลน์ เฟสแรกใช้กันช่วงพฤศจิกายนถึงธันวาคม เฟสสองน่าจะตามมาติด ๆ ช่วงมกราคมถึงกุมภาพันธ์หรืออาจจะเหลื่อมไปถึงมีนาคม ไม่ต้องสงสัยว่าสอดรับกับห้วงเวลาที่จะมีการเลือกตั้งหรือไม่ ถ้าไม่ดัดจริตกัน นี่เป็นการทำเพื่อหวังผลต่อการเลือกตั้งล้านเปอร์เซ็นต์ เสี่ยหนูก็ไม่ได้เหนียมยอมรับตามตรง รัฐบาลไหนบริหารประเทศแล้วไม่หวังในคะแนนนิยมจากประชาชนบ้าง

เป็นธรรมดา การมาแบบเหนือเมฆ ไม่ใช่ความเหนือชั้นแต่เพราะ การหนุนหลังด้วยพลังวิเศษ ลำพังคนละครึ่งอย่างเดียว อาจทำให้ได้รับเสียงสนับสนุนเพิ่มในระดับหนึ่ง แต่ยังไม่มากพอที่จะการันตีว่า ตัวแทนฝ่ายอนุรักษ์นิยมพันธุ์แท้ จะสามารถกุมความได้เปรียบในสนามเลือกตั้งได้ ให้รอดูมาตรการทางด้านความมั่นคง ผ่านการแก้ปัญหาชายแดนไทย-กัมพูชา ถือเป็นอีกนโยบายเรือธงที่พรรคภูมิใจไทย หวังจะใช้เป็นกลยุทธ์ในการทำงานร่วมกับฝ่ายความมั่นคง มัดใจประชาชนในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบแบบร้อยเปอร์เซ็นต์

เป็นที่รู้กันต่อการจัดตั้งรัฐบาลเสียงข้างน้อย ภายใต้การอุ้มสมของพรรคสีส้มอยู่แล้วว่า นอกเหนือจากพลังวิเศษที่หนุนหลัง ชนชั้นอีลิทที่ยินดีเป็นอย่างยิ่ง แล้ว บรรดาผู้นำเหล่าทัพทั้งหลายทั้งที่เพิ่งเกษียณไป และเข้ามารับตำแหน่งใหม่ ต่างยินยอมพร้อมใจที่จะให้พรรคสีน้ำเงินขึ้นมาเป็นแกนนำ ซึ่งทั้งหมดผ่านกระบวนการหารือ หรือจะเรียกว่าวางแผนกันมาตั้งแต่ศาลรัฐธรรมนูญรับเรื่องร้องและสั่งให้ แพทองธาร ชินวัตร หยุดปฏิบัติหน้าที่นายกฯ โน่นแล้ว

กระบวนการที่ทำกันเป็นขบวนการเช่นนี้ จะเห็นเด่นชัดผ่านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ หากทุกอย่างไปถึงจุดลงเอยตามทฤษฎีที่ผู้นำแท้จริงของพรรคสีส้มนำเสนอคือการประนีประนอมครั้งใหญ่ นั่นก็หมายความว่า การรัฐประหารโดยรัฐธรรมนูญที่ลิ่วล้อของเผด็จการ คสช. ได้วางเอาไว้ประสบความสำเร็จ อย่าได้ไปอ้างว่านี่เป็นการนับเนื่องของการจะก้าวไปสู่ประชาธิปไตยเต็มใบในอนาคต ที่สุดแล้ว มันก็แค่การสมประโยชน์ของพวกเสียประโยชน์จากอำนาจเผด็จการอยู่ยาวในช่วงกว่า 10 ปีที่ผ่านมาเท่านั้น โดยประชาชนเป็นเพียงเบี้ยที่ไร้ค่าบนกระดานแห่งการแย่งชิงอำนาจเท่านั้น

อรชุน

Back to top button