“อนุสรณ์” เตือน “ชัตดาวน์สหรัฐ” ยืดเยื้อ ฉุดเศรษฐกิจโลก จ่อดันทองแตะ 4,000 ดอลลาร์

รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ เตือนหากชัตดาวน์รัฐบาลสหรัฐฯ ยืดเยื้อเกินหนึ่งไตรมาส จีดีพีสหรัฐฯ เสี่ยงหดกว่า 1% กระทบเศรษฐกิจโลก–ไทย พร้อมชี้ทองคำอาจพุ่งแตะ 4,000 ดอลลาร์กลางปีหน้า


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (5 ต.ค.68) รศ.ดร.อนุสรณ์ ธรรมใจ คณบดีคณะเศรษฐศาสตร์ และผู้อำนวยการศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล การลงทุนและการค้าระหว่างประเทศ (DEIIT) มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ประเมินภาวะชัตดาวน์รัฐบาลสหรัฐอเมริกา (Government Shutdown) หากยืดเยื้อเกินหนึ่งไตรมาส อาจส่งผลให้ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ หรือ จีดีพี (GDP) ของสหรัฐฯ ลดลงไม่ต่ำกว่า 1% และสร้างแรงกดดันต่อเศรษฐกิจโลก การค้าโลก รวมถึงเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะภาคส่งออกและภาคท่องเที่ยว

ขณะเดียวกัน วิกฤติหนี้สาธารณะสหรัฐฯ ที่พุ่งสูงขึ้นต่อเนื่องจะกดดันค่าเงินดอลลาร์และเพิ่มความผันผวนในตลาดการเงินโลก ซึ่งอาจหนุนให้ราคาทองคำแตะระดับ 3,900-4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้ในช่วงกลางปี 2569

รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวว่า ปัจจุบันสหรัฐฯ มีหนี้สาธารณะรวมอยู่ที่ราว 37 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และยังคงเพิ่มขึ้นจากการทำงบประมาณขาดดุล แม้รัฐบาลพยายามลดขนาดองค์กรภาครัฐ ตัดลดงบประมาณหลายด้าน และเพิ่มรายได้จากภาษีศุลกากร แต่รายจ่ายหลักด้านสวัสดิการสังคม โดยเฉพาะโครงการ “โอบามาแคร์ (ObamaCare)” ยังมีสัดส่วนสูง ขณะที่ความขัดแย้งทางการเมืองระหว่างพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน ทำให้ไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณรายปีได้สำเร็จ จนนำไปสู่การปิดหน่วยงานของรัฐชั่วคราว

ตั้งแต่ปี พ.ศ. 2519 (ค.ศ. 1976) สหรัฐฯ เกิดภาวะชัตดาวน์มาแล้ว 11 ครั้ง โดยครั้งที่ยาวนานที่สุดเกิดขึ้นในช่วงปลายปี พ.ศ. 2561 ถึงต้นปี พ.ศ. 2562 รวมระยะเวลา 35 วัน ส่งผลให้จีดีพีหดตัวราว 0.3% และเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจประมาณ 11,000 ล้านดอลลาร์ โดยในจำนวนนี้ 3,000 ล้านดอลลาร์ถือว่าสูญหายถาวร ทั้งนี้ ข้อมูลจากสำนักงานงบประมาณรัฐสภาสหรัฐฯ (CBO) ระบุว่า ทุกสัปดาห์ของการชัตดาวน์จะฉุดจีดีพีลดลงราว 0.1% หรือคิดเป็นมูลค่ากว่า 7,000 ล้านดอลลาร์

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล DEIIT ประเมินว่า หากชัตดาวน์ยืดเยื้อเกินหนึ่งไตรมาส จีดีพีสหรัฐฯ จะลดลงไม่ต่ำกว่า 1% ซึ่งจะกดดันเศรษฐกิจโลกและมูลค่าการค้าระหว่างประเทศอย่างมีนัยสำคัญ โดยไทยจะได้รับผลกระทบในภาคส่งออกและการท่องเที่ยวในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ อีกทั้งยังเพิ่มความเสี่ยงที่สหรัฐฯ อาจถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือในอนาคต และลดความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั่วโลกต่อการถือครองเงินดอลลาร์และพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งจะจำกัดขอบเขตการใช้นโยบายการเงินแบบผ่อนคลายของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)

ด้าน ดร.ภัทรพงษ์ มาลาวัลย์ นักวิจัยประจำศูนย์ฯ อธิบายภาวะชัตดาวน์รัฐบาลว่า ไม่ได้หมายความว่า สหรัฐฯ ล้มละลาย แต่เป็นผลจากความขัดแย้งทางการเมืองในสภาคองเกรส ที่ไม่สามารถผ่านร่างงบประมาณหรือขยายเวลาการเบิกจ่าย (Continuing Resolution) ได้ทัน ก่อนสิ้นปีงบประมาณ 30 กันยายน 2568 ส่งผลให้หน่วยงานรัฐที่ไม่มีภารกิจหลักต้องหยุดดำเนินงานชั่วคราว ขณะที่หน่วยงานด้านความมั่นคง การป้องกันประเทศ และการแพทย์ฉุกเฉิน ยังคงทำงานตามปกติ

รศ.ดร.อนุสรณ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ภาวะชัตดาวน์รัฐบาลสหรัฐฯ ยิ่งทำให้นักลงทุนทั่วโลกโยกเงินเข้าสู่สินทรัพย์ปลอดภัย โดยเฉพาะทองคำ ส่งผลให้ราคาทองคำมีแนวโน้มปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง ขณะที่โกลด์แมน แซคส์ (Goldman Sachs) และ เจ.พี. มอร์แกน (J.P. Morgan) ประเมินว่า ราคาทองคำอาจทำจุดสูงสุดใหม่ในช่วงไตรมาส 4 ปี 2568 ถึงกลางปี 2569 ที่ระดับ 3,900–4,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ได้แรงหนุนจากค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนลง ความผันผวนของค่าเงินสหรัฐฯ และความคาดหวังต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)

ทั้งนี้ ราคาทองคำอาจมีการปรับฐานเป็นระยะจากแรงขายทำกำไรระยะสั้น หรือหากธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ชะลอการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ขณะที่ราคาทองคำในประเทศยังคงขยับขึ้นตามตลาดโลก โดยมีแรงซื้อจากผู้บริโภคและนักลงทุน แม้ราคาจะอยู่ในระดับสูง ภาคเอกชนยังคงกังวลต่อแนวคิดของภาครัฐในการจัดเก็บภาษีการซื้อขายทองคำเพื่อชะลอการแข็งค่าของเงินบาท โดยรศ.ดร.อนุสรณ์ เห็นว่า มาตรการดังกล่าวไม่สามารถชะลอการแข็งค่าของเงินบาทได้จริง อีกทั้งอาจกระทบต่อสถานะของไทยในฐานะศูนย์กลางการค้าทองคำของภูมิภาค จึงเสนอให้ “เพิ่มปริมาณเงินบาทในระบบ” เพื่อช่วยลดแรงกดดันการแข็งค่าได้ในระดับหนึ่ง

ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจดิจิทัล DEIIT สรุปว่า หากภาวะชัตดาวน์รัฐบาลสหรัฐฯ ยืดเยื้อเกินหนึ่งไตรมาส โลกอาจเผชิญแรงกระเพื่อมทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ทั้งในมิติการค้า การเงิน และความเชื่อมั่น โดยประเทศไทยควรเตรียมรับมือทั้งในด้านค่าเงิน การส่งออก การท่องเที่ยว และตลาดทุน

ทั้งนี้ รศ.ดร.อนุสรณ์ เห็นว่า มาตรการเก็บภาษีซื้อขายทองคำไม่สามารถชะลอการแข็งค่าของเงินบาทได้จริง อีกทั้งอาจกระทบสถานะของไทยในฐานะศูนย์กลางทองคำของภูมิภาค ขณะที่ “การเพิ่มปริมาณเงินบาทในระบบ” จะช่วยบรรเทาแรงกดดันค่าเงินได้ในระดับหนึ่ง

Back to top button