BAM เด้งแรง 8% รับโมเดลธุรกิจใหม่-แผนนโยบายรัฐตั้ง AMC หนุน โบรกชูเป้า 8.60 บ.

BAM เด้งแรง 8% ปรับโมเดลธุรกิจจาก “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” สู่ “หมุนเร็วแบ่งกำไร” เสริมประสิทธิภาพบริหารพอร์ตหนี้ด้วยระบบ Automation และพันธมิตรใหม่ รับอานิสงส์นโยบายรัฐกระตุ้นเศรษฐกิจและแผนตั้ง AMC เพิ่ม คาดหนุนกำไรปีนี้โต 50% บล.เอเอสแอล ยังคงแนะนำ “ซื้อ” BAM ราคาเป้าหมายที่ 8.60 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (8 ต.ค.68) ราคาหุ้น บริษัทบริหารสินทรัพย์ กรุงเทพพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ BAM ณ เวลา 10:38 น. อยู่ที่ระดับ 8.25 บาท บวก 0.60 บาท หรือ 7.84% ราคาสูงสุดอยู่ที่ 8.45 บาท ราคาต่ำสุดอยู่ที่ 8.00 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 264.38 ล้านบาท

บริษัทหลักทรัพย์ เอเอสแอล จำกัด หรือ ASL ระบุบในบทวิเคราะห์ว่า BAM รายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/2568 อยู่ที่ 1,294 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 184% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน สะท้อนประสิทธิภาพการจัดเก็บเงินสดที่แข็งแกร่งรวม 6,962 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7% จากปีก่อน จากการชำระหนี้ของลูกหนี้รายใหญ่และการขายที่ดินขนาดใหญ่ในจังหวัดเชียงใหม่ ส่งผลให้ครึ่งปีแรกมีกำไรสุทธิรวม 1,511 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 72% จากปีก่อน ขณะที่ยอดจัดเก็บเงินสดรวมแตะ 10,154 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 36%

โดย ASL ระบุว่า BAM ได้ปรับโมเดลธุรกิจจาก “ปู่โสมเฝ้าทรัพย์” ที่เน้นถือสินทรัพย์ระยะยาว มาเป็น “หมุนเร็วแบ่งกำไร” ผ่านการใช้ระบบ Automation และ Core System ใหม่ รวมถึงการขยายพันธมิตรธุรกิจสำคัญ เช่น VBeyond, Bangkok Asset และ Siamese Asset เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารพอร์ตและขยายแหล่งรายได้อย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ บรรยากาศเชิงบวกต่อกลุ่มบริหารสินทรัพย์ (AMC) ได้รับแรงหนุนจากนโยบายภาครัฐ หลัง คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเมื่อวันที่ 7 ต.ค.68 อนุมัติ โครงการ “คนละครึ่งพลัส” วงเงิน 44,000 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นการบริโภคปลายปี โดยให้ประชาชนใช้สิทธิผ่านแอปฯ เป๋าตัง ระหว่างวันที่ 29 ต.ค.-31 ธ.ค.68 (สำหรับบริการดีลิเวอรี่เริ่ม 7 พ.ย.) พร้อมกันนี้ กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างเร่งเดินหน้าแผนแก้หนี้ประชาชน ผ่านการจัดตั้งหรือใช้บริษัทบริหารสินทรัพย์ (AMC) ตาม 3 ทางเลือก ได้แก่ 1.ใช้ BAM และ SAM เป็นแกนหลัก, 2.ใช้ ARI-AMC สำหรับลูกหนี้ธนาคารของรัฐ, 3.ผ่อนเกณฑ์ให้ธนาคารพาณิชย์รายใหญ่จัดตั้ง AMC ของตนเองได้

โดยยังมีแนวทางใช้เงินจากกองทุนฯ คงเหลือราว 26,000 ล้านบาท เพื่อซื้อหนี้รายย่อยไม่เกิน 100,000 บาท (เริ่มต้นวงเงินประมาณ 10,000 ล้านบาท) ภายใต้กรอบ Gain-Loss Sharing เพื่อช่วยลูกหนี้รายย่อยให้สามารถกลับมาฟื้นตัวทางเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืน

ในภาพรวมอุตสาหกรรม ASL ประเมินว่าหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPL) ในระบบสถาบันการเงินอยู่ที่ราว 544,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ขณะที่สินเชื่อค้างชำระระยะสั้น (SM Loans) มูลค่าประมาณ 1.3 ล้านล้านบาท คาดว่าราว 30% จะกลายเป็น NPL ในอนาคต ทำให้รวมแล้วอาจมี NPL เข้าสู่ระบบสูงถึง 1 ล้านล้านบาท ซึ่งจะเปิดโอกาสให้ BAM เข้าซื้อหนี้ได้ในราคาต่ำลง

ด้านสินทรัพย์รอการขาย (NPA) ยังคงมีดีมานด์สูงจากนักลงทุน ทั้งกลุ่ม Flipper, เจ้าของแบรนด์อสังหาริมทรัพย์ที่ต้องการซื้อทรัพย์คืน และกลุ่ม Real Sector ที่ขยายเข้าสู่ธุรกิจ Hospitality ขณะที่ตลาดบ้านมือสองเติบโตแซงบ้านมือหนึ่งแล้ว

BAM ตั้งเป้าเข้าร่วมประมูลซื้อหนี้ราว 30,000 ล้านบาท คาดชนะประมูลได้ครึ่งหนึ่ง ใช้เงินลงทุนประมาณ 3,000 ล้านบาท ทำให้ยอดลงทุนรวมปีนี้อยู่ที่ราว 3,000-4,000 ล้านบาท พร้อมตั้งเป้าผลเรียกเก็บเงินสดรวม 17,000-18,000 ล้านบาท อีกทั้งยังมีแผนปรับโครงสร้างองค์กรสู่ Holding Company ภายใน 2-3 ปี เพื่อเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารบริษัทย่อย ได้แก่ ARI AMC (ร่วมทุนกับธนาคารออมสิน) ที่เน้นสินเชื่อสะอาด และ ARUN (ร่วมทุนกับธนาคารกสิกรไทย) ที่เน้นหนี้มีหลักประกัน

นอกจากนี้ บริษัทเตรียมเปิดตัวโครงการ “ทรัพย์มหาชน” เพื่อช่วยลูกค้าที่ไม่สามารถขอสินเชื่อจากธนาคาร โดยเปิดโอกาสให้ผ่อนชำระตรงกับ BAM เป็นอีกแนวทางในการช่วยเหลือประชาชนและกระตุ้นการหมุนเวียนของสินทรัพย์ในระบบเศรษฐกิจ

ทั้งนี้ IAA Consensus ประเมินกำไรสุทธิเฉลี่ยของ BAM ปีนี้ที่ 2.4 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% จากปีก่อน โดยมีแรงหนุนจากมาตรการภาครัฐ ทั้งการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่าน “คนละครึ่งพลัส” และการจัดตั้ง AMC เพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นปัจจัยบวกต่ออุตสาหกรรมบริหารสินทรัพย์ในระยะกลางถึงยาว ขณะที่แนวรับอยู่ที่ 7.50-7.35 บาท และแนวต้านที่ 8.00-8.30-8.60 บาท

อย่างไรก็ดี บล.เอเอสแอล ยังคงแนะนำ “ซื้อ” BAM รับปัจจัยบวกจากข่าวการจัดตั้ง AMC โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 8.60 บาท

Back to top button