
MINT-MAGURO สัญญาณดี! ลุ้นรายได้ Q3 โตแกร่ง หลังท่องเที่ยว-อาหารฟื้น
ททท.-สมาคมภัตตาคารไทยชี้สัญญาณภาคท่องเที่ยว-ร้านอาหารพ้นจุดต่ำสุด เข้าสู่ช่วงฟื้นแรง หนุนแนวโน้มรายได้เพิ่ม รับอานิสงส์กำลังซื้อ โบรกฯ แนะลงทุน MINT ราคาเป้าหมาย 30 บาท และ MAGURO เป้าหมาย 28.25 บาท
ผู้สื่อข่าวรายงาน บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) เปิดเผยถึงการประชุมระหว่าง นายชูวิทย์ ศิริเวชกุล รองผู้ว่าการด้านนโยบายและแผนการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) และคุณฐนิวรณ์รณ กุลมงคล นายกสมาคมภัตตาคารไทย เป็นวิทยากรบรรยายพิเศษ ซึ่งได้พูดถึงแนวโน้มของ การท่องเที่ยว และ ธุรกิจร้านอาหารในไทย ซึ่ง ททท. และบริษัทฯ ที่เข้าร่วมประชุม อาทิ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC, บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT
รวมไปถึง บริษัท เอส โฮเทล แอนด์ รีสอร์ท จำกัด (มหาชน) หรือ SHR, บริษัท มากุโระ กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ MAGURO และ บริษัท เซ็น คอร์ปอเรชั่น กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ZEN ต่างมีมุมมองไปในทิศทางเดียวกันว่าการท่องเที่ยวไทยได้ผ่านจุดต่ำสุดแล้วและกำลังเข้าสู่ช่วงฟื้นตัว
โดยการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) คาดการณ์ว่าในปี 2568 ประเทศไทยจะมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้ามาทั้งสิ้นประมาณ 33.49 ล้านคน ลดลงร้อยละ 6 จากปีที่ผ่านมา ซึ่งเพิ่มขึ้นจากจำนวน 24.5 ล้านคน ในปีก่อนหน้าที่ลดลง 7.5% จากปีก่อนหน้า ปัจจุบันและคาดการณ์ว่าจะเติบโตเป็น 34.89 ล้านคน เพิ่มขึ้น 4% จากปีก่อนหน้า ในปี 2569 โดยจะเน้นการขยายไปยังกลุ่มตลาดใหม่
ขณะที่ จากข้อมูลที่ได้จากการประชุมรายได้ต่อห้องว่าง RevPAR ของไทย คาดการณ์ว่าจะฟื้นตัวจากจุดต่ำในไตรมาส 3 ปี 2568 (AWC ลดลง 13%, MINT – high single-digit%, SHR เพิ่มขึ้น 28%) โดยได้รับการสนับสนุนจากยอดจองล่วงหน้าในไตรมาส 4 ปี 2568 ทั้งจากปีก่อนหน้าและจากไตรมาสก่อน ช่วงเทศกาลปลายปี โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ที่มีนักท่องเที่ยว Long-haul เพิ่มเข้ามา
สำหรับ ตลาดต่างประเทศ ยังเห็นการเติบโตเช่นกัน โดย ยุโรป เติบโตแบบ High single-digit ส่วน มัลดีฟส์ แตกต่างตาม Segment (MINT midsingle-digit%, SHR double-digit %) และสหราชอาณาจักร (UK) ยังคงทรงตัว โดยรวมผู้ประกอบการมองว่าแนวโน้มของโรงแรมในไตรมาส 4 ปี 2568 เป็นบวกในช่วง High season ของตลาดหลักและคาดว่าค่าห้องพักในปี 2569 จะปรับตัวขึ้นในระดับ Single-digit หรือสอดคล้องกับอัตราเงินเฟ้อ
หากมองไปยังกลุ่ม ธุรกิจร้านอาหาร ยังคงเผชิญความท้าทายจากกำลังซื้อผู้บริโภคที่อ่อนตัว โดยเฉพาะในช่วง Low season ของไตรมาส 3 ปี 2568 ทำให้บริษัทต่างๆ ต้องปรับกลยุทธ์ไปที่ เมนูที่คุ้มค่า Value-for-Money การฟื้นตัวแตกต่างกันไปในแต่ละบริษัทฯ โดยยอดขายสาขาเดิม (SSSG) ในไตรมาส 3 ปี 2568 ของ MINT ปรับตัวขึ้นมาอยู่ที่ 0.5-1% (จาก -1.7% ใน ไตรมาส 2 ปี 2568) ขณะที่ SSSG ของ MAGURO ฟื้นตัวมาอยู่ที่ -5% (จาก -9% ใน ไตรมาส 2 ปี 2568) ส่วนใหญ่เกิดจากการทำโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย
ขณะที่ ZEN นั้น SSSG ยังคงทรงตัวราว -3% ใกล้เคียงกับไตรมาส 2 ปี 2568 ผู้ประกอบการคาดว่าธุรกิจจะฟื้นตัวจากไตรมาสก่อนหน้า ในไตรมาส 4 ปี 2568 โดยได้รับแรงสนับสนุนจากกาลังซื้อผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นและมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจากภาครัฐ
สำหรับกลยุทธ์การลงทุน ฝ่ายนักวิเคราะห์ยังคงมุมมอง “Neutral” ต่อทั้งกลุ่มโรงแรมและร้านอาหาร เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโดยรวมและกำลังซื้อของผู้บริโภคยังเป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก หุ้นเด่นจากการประชุม ได้แก่ MINT แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 30 บาท ในกลุ่มโรงแรม ซึ่งได้รับประโยชน์จากการกระจายธุรกิจและพอร์ตภูมิภาคที่ช่วยลดความเสี่ยง และ MAGURO แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 28.25 สำหรับกลุ่มร้านอาหาร ซึ่งมีการฟื้นตัวของ SSSG อย่างแข็งแกร่ง จากการขยายสาขาและเปิดแบรนด์ใหม่
ขณะเดียวกัน บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุผ่านบทวิเคราะห์ถึง MAGURO ว่ามองบวกต่อ Outlook ของ MAGURO ซึ่งฝ่ายนักวิเคราะห์ได้สอบถามไปยังบริษัท พบว่ายอดขายสาขาเดิม (SSSG) ในไตรมาส 3 ปี 2568 ติดลบน้อยกว่า 3.5% ดีกว่าฝ่ายนักวิเคราะห์คาดการณ์มาก โดยก่อนหน้าคาดกำไรสุทธิไตรมาส 3 ปี 2568 ทำ All Time High อยู่ที่ 38 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 29% จากปีก่อนหน้า และ 18% จากไตรมาสก่อนสนับสนุนโดยรายได้รวมทำ All Time High จากการขยายสาขา, SSSG ติดลบน้อยกว่า 3.5% ฟื้นตัวจากไตรมาสก่อน อีกทั้ง brand ใหม่ทั้ง 2 แบรนด์ตอบรับดีมาก (Kiwamiya, Bincho), GPM ขยายตัวจากปีก่อนหน้า แต่ทรงตัวระดับสูงจากไตรมาสก่อน
ทั้งนี้ คงประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 อยู่ที่ 145 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 50% จากปีก่อนหน้า โดยฝ่ายนักวิเคราะห์มองว่ากำไรปีนี้มี upside จากรายได้แบรนด์ใหม่และ SSSG ที่ดีกว่าคาดและคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2569 อยู่ที่ 178 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23% จากปีก่อนหน้า ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุน คือ 1.) รายได้ทา All Time High ต่อเนื่องจากการขยายสาขา 15 สาขา เปิดแบรนด์ใหม่ และ SSSG ขยายตัวและ 2.) GPM ทรงตัวระดับสูงจากปีก่อนหน้า ทั้งนี้กลยุทธ์ลงทุน ฝ่ายนักวิเคราะห์คงคำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมายที่ 33.00 บาท