พาราสาวะถี

เขมรการละคร ยังคงเล่นบทตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จไม่ลดละ


*เขมรการละคร ยังคงเล่นบทตีหน้าเศร้าเล่าความเท็จไม่ลดละ โดยผู้แทนถาวรกัมพูชาประจำสหประชาชาติ ได้ใช้เวทีการประชุมคณะกรรมการบริหารของสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ หรือ UNHCR ExCom สมัยที่ 76 ที่นครเจนีวา สวิตเซอร์แลนด์ กล่าวหาไทยละเมิดกบัตรสหประชาชาติและอนุสัญญาเจนีวา ซึ่งห้ามการย้ายถิ่นของพลเรือนโดยใช้กำลัง การทำลายทรัพย์สิน และการลงโทษหมู่  พร้อมทั้งหน้าด้านอ้างว่าไทยรุกล้ำทำให้ประชาชนต้องพลัดถิ่น ทำลายบ้านเรือน ในพื้นที่ชายแดน จังหวัดสระแก้ว ทั้งที่อาศัยมาหลายชั่วอายุคน

*งานนี้ ปรารถนา ดิษยทัต อัครราชทูตรองผู้แทนถาวรไทยประจำสหประชาชาติ ณ นครเจนีวา ตอกกลับแต่ไม่รู้ว่าพวกหน้าอย่างเขมรจะหน้าชาหรือไม่ ยืนยันหมู่บ้านที่ฝ่ายเขมรอ้างถึงนั้นตั้งอยู่ในดินแดนของไทย พูดประสาทั่วไปการอ้างของอีกฝ่ายคือ พวกเนรคุณ นั่นเอง เพราะพื้นที่ดังกล่าวเกิดจากการที่ไทยตัดสินใจเปิดพรมแดนเพื่อให้ชาวเขมรหลายแสนคนที่หลบหนีสงครามกลางเมืองในประเทศตัวเองเข้ามาพักพิง อันเป็นการตัดสินใจที่เกิดจากความเห็นอกเห็นใจและ หลักมนุษยธรรม ซึ่งเป็นรากฐานของธรรมเนียมปฏิบัติด้านมนุษยธรรมอันยาวนานของไทย

*พอเวลาผ่านไปหลายปีศูนย์พักพิงชั่วคราวได้ปิดตัวลง แต่ชาวเขมรบางส่วนเข้ามาอยู่อาศัยในพื้นที่ดังกล่าว และขยายการตั้งถิ่นฐานออกไป ประเทศไทยประท้วงหลายครั้งต่อการรุกล้ำเข้ามาในดินแดนไทย แต่รัฐบาลกัมพูชาไม่เคยตอบสนองหรือดำเนินการรับผิดชอบใด ๆ ในทางกลับกัน ล่าสุด กองทัพกัมพูชาได้ปลุกระดมชาวเขมรทั้งเด็ก สตรี และพระภิกษุ เดินทางเข้ามาในพื้นที่ เพื่อกระทำการยั่วยุประเทศไทย ซึ่งมีเจตนาเพิ่มความตึงเครียด เป็นการละเมิดอธิปไตยและกฎหมายภายในของประเทศไทยอย่างร้ายแรง

*คงไม่ต้องอธิบายอะไรให้มาก อย่างที่บอกว่านอกจากจะหน้าด้านหน้าทน ตั้งแต่ผู้นำเขมรจนไปไพร่พลทั้งหลายเป็นพวกที่ไว้ใจไม่ได้ ดังนั้น การเดินหน้าเตรียมความพร้อมเพื่อที่จะผลักดันให้พวกที่รุกล้ำอธิปไตยออกจากแผ่นดินไทยจึงเป็นเรื่องที่ถูกต้อง นาทีนี้ฝ่ายบริหารไม่อาจรั้งปฏิบัติการณ์ของฝ่ายกองทัพได้ เพียงแค่ปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามขั้นตอนที่ได้มีการเตรียมกันไว้ เบื้องต้นคือการเก็บกู้ทุ่นระเบิดในพื้นที่บ้านหนองจานและบ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว พร้อมกับการซักซ้อมอพยพพลเรือนกรณีเกิดเหตุฉุกเฉิน
*แน่นอนว่าหากมองในเชิงจิตวิทยา นี่อาจเหมือนการเขย่าขวัญสั่นประสาทอีกฝ่าย แต่ล้อไปกับการเตรียมดำเนินการทางยุทธวิธีที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ ซึ่งจะเห็นได้ว่า การใช้สงครามกวนประสาทนั้นได้ผล โดยช่วงดึกของวันเสาร์ที่ผ่านมา ทหารเขมรรีบแจ้นร้องให้ผู้สังเกตการณ์ชั่วคราว หรือ IOT ฝั่งกัมพูชาลงพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้วและหนองจาน เพื่อตรวจสอบฝ่ายไทยใช้ลำโพงเปิดเสียงผี  เสียงหมาหอน เสียงดังรบกวนชาวเขมร และผู้ป่วย เป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน สติแตกกันไปใหญ่

*ไม่รู้ว่าไอโอทีฝั่งโน้นจะบ้าจี้ตามทหารเขมรหรือไม่แต่จะเห็นได้ว่า การดำเนินการของฝั่งไทยนั้นเป็นไปตามกระบวนการทุกอย่าง โดยเฉพาะเรื่องการเก็บกู้ทุ่นระเบิดที่ได้รับการสนับสนุนรถกวาดล้างทุ่นระเบิด จาก คณะที่ปรึกษาทางทหารร่วมสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย หรือ JUSMAG Thai อันถือเป็นภารกิจ การกำจัดทุ่นระเบิดเพื่อมนุษยธรรมหรือ Humanitarian Demining การเก็บกู้หากพบทุ่นระเบิดใหม่ที่เข้ามาวาง ย่อมแสดงให้เห็นถึงเจตนาร้ายของฝ่ายเขมรต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงนี้เป็นอย่างดี

*ไม่ต่างกันกับอีกฟากฝั่งแนวชายแดนที่ผ่านการปะทะในความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 2 ที่พบ ทหารเขมรตัดรื้อรั้วลวดหนามของไทยแถวปราสาทตาควาย และยัง มีการบินโดรนว่อนที่ปราสาทตาตวาย 23 ลำ รวมไปถึงช่องอานม้า ปราสาทพระวิหาร ภูมะเขือ พลาญหินแปดก้อน นอกจากนั้น ยังตรวจพบการลำเลียงยุทธภัณฑ์-เสบียงโดยใช้รถพลเรือนอำพรางรูปแบบการเคลื่อนที่เพื่อไม่ให้ถูกกล่าวหาว่าทำการละเมิดข้อตกลงหยุดยิงด้วย

*กรณีเหล่านี้ พลโทวีระยุทธ รักศิลป์ แม่ทัพภาคที่ 2 ชี้ว่า กองทัพไม่ได้นิ่งนอนใจแต่ต้องตั้งอยู่ในความไม่ประมาทและดำเนินการทุกอย่างโดยรอบคอบ เช่นกรณี การตัดรื้อรั้วลวดหนามบริเวณปราสาทตาควายยังไม่สามารถที่จะให้ทหารเข้าไปวางแนวรั้ว ลวดหนามใหม่ได้ เนื่องจากต้องส่งเจ้าหน้าที่ชุดเก็บกู้วัตถุระเบิด เข้าไปเคลียร์พื้นที่ก่อน เพราะกังวลว่าทหารเขมรจะเล่นไม่ซื่อวางทุ่นระเบิดไว้ และอาจเป็นแผนที่จะถ่ายคลิปแล้วนำมาลงในโซเชียลฯ เพื่อให้ทหารไทยเร่งรีบเข้าไปดำเนินการล้อมรั้วใหม่

*คำตอบแบบนี้เชื่อได้ว่าคนไทยส่วนใหญ่คงไม่ค่อยพอใจในทำนองว่า ทำไมทหารจึงไม่ตอบโต้พฤติกรรมดังว่านี้ของทหารเขมร ซึ่งแม่ทัพภาคที่ 2 ได้เน้นย้ำว่า หลังจากนี้หากพบทหารกัมพูชาเข้ามารื้อรั้วลวดหนาม ให้ดำเนินการตามมาตรการที่ให้ไว้ทันที แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีการแบบไหน เชื่อได้ว่า ทางการข่าวของฝ่ายความมั่นคง น่าจะพอรู้ว่าเขมรภายใต้การบัญชาของ ฮุน เซน นั้น วางยุทธศาสตร์ที่จะเอาคืน เปิดแนวรบในพื้นที่เดิมอีกรอบ เป้าหมายคือภูมะเขือ ใกล้กับปราสาทพระวิหารนั่นเอง

*จะเห็นได้จากความเคลื่อนไหวเรื่องการเสริมกำลัง แอบตั้งฐานบัญชาการบริเวณปราสาทพระวิหาร และพื้นที่โดยรอบในลักษณะลับ ลวง พราง แต่กองทัพไทยก็ไม่ได้นิ่งดูดาย เพียงแต่ในการดำเนินการต้องปกปิดเป็นความลับ มิเช่นนั้น อีกฝ่ายจะล่วงรู้ได้ ซึ่งจนถึงเวลานี้หากเปิดฉากปะทะกันอีกรอบ เขมรน่าจะได้ลิ้มลองฤทธิ์เดชของกองกำลังรบจากทุกหน่วยของไทยที่จัดไว้วางไว้รับมือเต็มอัตราศึก ทหารกล้าทั้งหลายรอแค่ว่าเมื่อไหร่จะมีเหตุให้ได้ลุยแค่นั้น

อรชุน

Back to top button