
ถกร่างแก้รธน. วันแรก “ภท.-พท.-ปชน.” ต่างสูตร สสร.–เป้าหมายเดียว “ฉบับใหม่”
รัฐสภาเปิดประชุมถกร่างแก้รัฐธรรมนูญ 3 ฉบับจากพรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทย และพรรคประชาชน เสนอวิธีตั้ง สสร. คนละแนวทาง “กรวีร์” ลั่นยึดความเป็นจริง ขณะที่ “ชูศักดิ์” หนุนอำนาจรัฐสภา ด้าน “พริษฐ์” เน้นความชอบธรรมทางประชาธิปไตย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (14 ต.ค.68) มีการประชุมร่วมกันของรัฐสภา พิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ซึ่งเสนอโดย 3 พรรคการเมือง ได้แก่ พรรคภูมิใจไทย พรรคประชาชน และพรรคเพื่อไทย
สาระสำคัญเพื่อแก้ไขมาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 ว่าด้วยการจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) เพื่อยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยไม่แตะต้องหมวด 1 และหมวด 2 อย่างไรก็ตาม ที่มาและกระบวนการได้มาซึ่ง สสร. ของแต่ละพรรคยังมีรายละเอียดแตกต่างกัน
นายกรวีร์ ปริศนานันทกุล สส.อ่างทอง พรรคภูมิใจไทย ในฐานะผู้เสนอร่างฝ่ายภูมิใจไทย ชี้แจงหลักการว่า การแก้ไขครั้งนี้เป็นไปตามคำมั่นที่ให้ไว้กับประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาล เพื่อปลดล็อก “มาตรา 256” ซึ่งเป็นกุญแจสำคัญในการเปิดทางสู่รัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ยึดโยงกับประชาชน พร้อมเน้นว่า เนื้อหาร่างของพรรคเน้น ความเรียบง่าย เข้าใจได้ และทำได้จริง เสนอให้ตั้ง สสร. จำนวน 99 คน มาจากผู้แทน 77 จังหวัด และผู้เชี่ยวชาญอีก 22 คน โดยมีคณะกรรมการยกร่าง 45 คน ทำหน้าที่ยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เสนอรัฐสภาและจัดทำประชามติภายหลัง
นายกรวีร์ ย้ำว่า พรรคภูมิใจไทยไม่ขัดแย้งกับร่างของพรรคอื่นในหลักการ แต่เห็นต่างใน “วิธีการ” โดยตั้งข้อสังเกตว่าร่างของพรรคเพื่อไทยอาจมีขั้นตอนซับซ้อนและเสี่ยงต่อการถูกตีความขัดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนร่างของพรรคประชาชนแม้มีเจตนาดี แต่ขาดความชัดเจนเพราะไม่มีสภาร่างรัฐธรรมนูญ มีเพียงคณะกรรมการยกร่าง 35 คน และสภาที่ปรึกษา 100 คน ทำให้กระบวนการอาจไม่สะท้อนการมีส่วนร่วมของประชาชนอย่างแท้จริง
“การแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้ไม่ควรนำไปสู่ความขัดแย้งรอบใหม่ แต่ต้องเป็นจุดเริ่มต้นของความร่วมมือ และเป็นกติกาที่ทุกฝ่ายยอมรับได้” นายกรวีร์กล่าว พร้อมทิ้งท้ายเตือนทุกฝ่ายว่า “อย่าเพ้อฝันมากนัก ควรมองโลกตามความเป็นจริง และเดินหน้าในแนวทางที่เป็นไปได้”
ด้านนายชูศักดิ์ ศิรินิล สส.บัญชีรายชื่อ และรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย ชี้แจงหลักการของร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญที่พรรคเสนอว่า การผลักดันให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เป็นหนึ่งในเงื่อนไขสำคัญตามบันทึกข้อตกลง (MOA) ระหว่างพรรคการเมือง ซึ่งทำให้ต้องลดวาระของสภาผู้แทนราษฎรลง และผูกพันกับรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ยังอยู่ระหว่างการจัดทำ หากกระบวนการดังกล่าวไม่แล้วเสร็จภายใน 4 เดือน ร่างรัฐธรรมนูญก็จะตกไปพร้อมกับการยุบสภา
นายชูศักดิ์ ระบุว่า กรอบเวลาเพียง 4 เดือนดังกล่าว ถือเป็น “ความเสี่ยงทางการเมือง” ที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ เพราะเป็นการลงทุนทางการเมืองที่สูง แต่ไม่แน่นอนว่าจะสำเร็จหรือไม่ พร้อมย้ำว่าร่างของพรรคเพื่อไทย มีหลักการสำคัญคือ “ให้อำนาจสูงสุดอยู่ที่รัฐสภา” โดยหลังจาก สสร. ยกร่างแล้ว จะต้องนำกลับมาให้ที่ประชุมรัฐสภาพิจารณาอีกครั้ง เพื่อให้สามารถแก้ไขเพิ่มเติมหรือให้ความเห็นชอบได้ หากรัฐสภาไม่เห็นชอบ ร่างนั้นจะตกไป ซึ่งเป็นการยืนยันหลักการอำนาจของรัฐสภาตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ
ส่วนประเด็นการแก้ไขหมวด 1 และหมวด 2 นายชูศักดิ์ ยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยไม่มีเจตนาแก้ไข แต่เหตุผลที่ไม่ได้เขียนห้ามไว้ในร่างแก้ไขเพิ่มเติมครั้งนี้ เนื่องจากมาตรา 256 เดิมมีบทบัญญัติคุ้มครองรูปแบบการปกครองอยู่แล้ว และการเขียนห้าม อาจขัดแย้งกับมาตรา 256 ที่เปิดช่องให้แก้ไขได้หากมีการทำประชามติ อีกทั้งในอดีตหมวด 1 ก็เคยมีการแก้ไขมาแล้วในรัฐธรรมนูญปี 2560
นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ชี้แจงหลักการและเหตุผลว่า ร่างของพรรคประชาชนเสนอให้แก้ไขมาตรา 256 และเพิ่มเติมหมวด 15/1 เพื่อให้รัฐสภาสามารถจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ได้อย่างมีส่วนร่วมตามคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ โดยมีเป้าหมายให้รัฐธรรมนูญเป็นกติกาที่มี “ความชอบธรรมทางประชาธิปไตย” และยึดโยงกับประชาชนอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ เหตุผลสำคัญที่ต้องจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ เพราะรัฐธรรมนูญปี 2560 ขาดความชอบธรรมทางประชาธิปไตย มีที่มาจากคณะรัฐประหารและผ่านการทำประชามติที่ไม่เสรีและไม่เป็นธรรม อีกทั้งยังมีบทบัญญัติหลายมาตราที่ไม่สอดคล้องกับหลักประชาธิปไตย จึงสมควรได้รับการแก้ไข
พรรคประชาชนเสนอร่างนี้โดยมี “3 จุดแข็ง” ได้แก่ การส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน โดยออกแบบให้ประชาชนมีส่วนเลือกผู้ร่างรัฐธรรมนูญทางอ้อม, การป้องกันการผูกขาดทางการเมือง โดยให้การคัดเลือกคณะกรรมาธิการยกร่างใช้ระบบสัดส่วนแทนเสียงข้างมาก และการกำหนดกรอบเนื้อหาชัดเจน 9 ข้อ ซึ่งยืนยันว่าจะไม่แตะหมวด 1 และหมวด 2 รวมถึงยึดหลักสิทธิเสรีภาพและกลไกป้องกันคอร์รัปชัน
ปัจจุบันรัฐสภามี ส.ส.ฝ่ายค้านที่พร้อมผลักดันวาระรัฐธรรมนูญอย่างเต็มที่โดยไม่ต้องเกรงใจใครเหมือนในอดีต มีรัฐบาลที่ตระหนักว่าความอยู่รอดของตนเองขึ้นอยู่กับการแก้ไขรัฐธรรมนูญให้สำเร็จ และมี ส.ว. ที่ได้รับคำวินิจฉัยชัดเจนจากศาลรัฐธรรมนูญว่าสามารถร่วมแก้ไขได้โดยไม่ต้องทำประชามติล่วงหน้า
แม้ร่างรัฐธรรมนูญทั้ง 3 ฉบับมีรายละเอียดแตกต่างกัน แต่มีหลักการเดียวกันคือ รัฐสภาเห็นด้วยหรือไม่กับการเดินหน้าจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ซึ่งเป็นคำถามสำคัญที่รัฐสภาต้องร่วมกันตอบผ่านการลงมติในวันนี้
นายพริษฐ์ ย้ำว่า การแก้รัฐธรรมนูญไม่ใช่เรื่องที่ทำให้รัฐบาลละเลยปัญหาปากท้อง เพราะรัฐบาลที่ดีต้องสามารถทำทั้ง 2 เรื่องไปพร้อมกัน อีกทั้งการมีรัฐธรรมนูญที่มั่นคงโปร่งใส ยังช่วยสร้างเสถียรภาพทางเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นจากนักลงทุนในระยะยาว