
พาราสาวะถี
ในที่สุดการพูดโกหกก็แพ้เสียงในหัวตัวเอง ฮุน เซน ขู่ให้ไทยเปิดด่านชายแดนภายในวันที่ 20 ตุลาคมนี้
*ในที่สุดการพูดโกหกก็แพ้เสียงในหัวตัวเอง ฮุน เซน ขู่ให้ไทยเปิดด่านชายแดนภายในวันที่ 20 ตุลาคมนี้ มิเช่นนั้น จะแฉนักการเมืองไทยมีเอี่ยวธุรกิจสีเทาในเขมร ทั้งที่ ก่อนหน้ายังทำกร่างปากดี ยืนยันไม่เคยขอให้ฝ่ายไทยเปิดด่าน พร้อมเย้ยด้วยว่าเป็นฝ่ายปิดก่อนก็ต้องเปิดเอง กัมพูชาไม่ลดตัวไปขอร้อง และ ต่อให้ไทยปิดด่านไปอีก 100 ปีกัมพูชาก็ไม่ตาย แต่มันยิ่งทำให้ชาวเขมรหันมาใช้สินค้าผลิตในประเทศมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อเศรษฐกิจในระยะยาว
*มาวันนี้กลับทำในสิ่งตรงข้าม ซึ่งมองกันได้ว่าอาจจะไม่ใช่ปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ ปากท้องของชาวเขมรที่ต้องการให้เปิดด่าน น่าจะเป็นเรื่องการสูญเสียรายได้ส่วนตัวของ ฮุน เซน หรือเรียกได้ว่าทั้งตระกูลฮุนมากกว่า เห็นกันอยู่แล้วว่าทุกกระบวนท่าของผู้มากบารมีของเขมรนั้น เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ของตัวเองและครอบครัวทั้งสิ้น ยิ่งตอนนี้ มาเจอแรงกดดันปมปราบปรามแก๊งสแกมเมอร์จากทั้งสหรัฐอเมริกาและเกาหลีใต้ กลายเป็นเรื่องหนักหน่วงเข้าไปอีก
*ดังนั้น จึงเป็นเรื่องที่ประเทศไทยไม่ว่า อนุทิน ชาญวีรกูล ในฐานะผู้นำประเทศ หรือ สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่จะเดินทางไปเจรจากับฝ่ายเขมรโดยมีมาเลเซียเป็นตัวกลาง ที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ในวันที่ 17 ตุลาคมนี้ เพื่อหาแนวทางในการยุติความขัดแย้ง หรือ จะเกิดข้อตกลงสันติภาพระหว่างสองประเทศ ตามความฝันหรือคำขู่ของ โดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ จะต้องแข็งกร้าวในท่าทีต่อเงื่อนไข 4 ข้อที่ฝ่ายเขมรยังไม่ยอมปฏิบัติ ตามข้อตกลงที่เคยหารือกันจากวงประชุมคณะกรรมการชายแดนทั่วไปหรือจีบีซี
*แน่นอนว่า 4 เงื่อนไขที่ฝ่ายเขมรไม่ยอมทำแผนปฏิบัติการให้เป็นรูปธรรมนั้น ล้วนแต่เป็นเรื่องที่ฮุน เซน เป็นผู้เดินเกม เกี่ยวข้อง และทำให้เป็นปัญหาทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น การถอนอาวุธหนักจากแนวชายแดนที่เคยมีการปะทะ การเก็บกู้ทุ่นระเบิด ปราบปรามสแกมเมอร์ และบริหารจัดการพื้นที่ชายแดนที่มีปัญหา การบ้านสำคัญสำหรับรัฐมนตรีต่างประเทศที่บินไปเจรจา ซึ่งต้องหนีบเอาฝ่ายความมั่นคงร่วมคณะไปด้วยนั้น ต้องให้อีกฝ่ายมีแผนที่ชัดเจน ยืนยัน พร้อมทำให้เห็นโดยทันที ก่อนที่จะนำไปสู่การทำข้อตกลงใด ๆ ก็ตาม
*มีรายงานข่าวจากมาเลเซียมาแล้วว่า อันวาร์ อิบราฮิม นายกฯ เสือเหลืองได้ตกลงกับทรัมป์เป็นที่เรียบร้อย ในการที่จะ มัดมือชกให้อนุทิน ลงนามร่วมกับ ฮุน มาเนต ผู้นำเขมรผ่าน Kuala Lumpur Declaration หรือคำประกาศกัวลาลัมเปอร์เพื่อสันติภาพของสองประเทศ ในการประชุมสุดยอดอาเซียนที่จะเกิดขึ้นในปลายเดือนนี้ ถึงตอนนี้เสี่ยหนูยังไม่ได้ตอบคำถามใด ๆ ของนักข่าวต่อเรื่องดังว่า ถือเป็นบทพิสูจน์คำพูดของท่านผู้นำจะเชื่อได้หรือไม่ เพราะได้ยืนกระต่ายขาเดียวมาตลอด ถ้าเขมรไร้ความชัดเจน ประเทศที่สามจะใหญ่แค่ไหนก็ยุ่งไม่ได้
*ความเด็ดขาดในการตอบโต้ฝ่ายที่ไว้ใจไม่ได้นั้น กองทัพภาคที่ 2 ได้ทำให้เห็นเป็นตัวอย่างแล้ว ด้วยการเลื่อนการประชุมคณะกรรมการชายแดนส่วนภูมิภาคหรืออาร์บีซี ระหว่างกองทัพภาคที่ 2 กับภูมิภาคทหารที่ 4 ของเขมรออกไปไม่มีกำหนด จนกว่าฝ่ายกัมพูชาจะมีข้อเสนอที่สามารถลดความขัดแย้งได้อย่างเป็นรูปธรรมตามเงื่อนไข 4 ข้อของฝ่ายไทย ท่าทีเช่นนี้เพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของข้อตกลงจากเวทีจีบีซี ไม่ยื้อเวลา และป้องกันการบิดเบือนข้อเท็จจริงในภายหลัง
*ขณะที่การเมืองภายในประเทศ กระบวนการร่างรัฐธรรมนูญหลังจากที่ประชุมรัฐสภารับหลักการร่างแก้ไขที่พรรคการเมืองเสนอไปเรียบร้อยแล้ว เป็นขั้นตอนของการพิจารณาในชั้นคณะกรรมาธิการ ว่ากันไปตามนั้น ที่ทำให้ทุกคนหูผึ่งคงเป็นการไปชี้แจงของ บวรศักดิ์ อุวรรณโณ รองนายกฯ ต่อที่ประชุมเรื่องการประกาศทำประชามติที่ทางรัฐบาลและกกต.จะต้องดำเนินการร่วมกัน ตรงนั้นไม่สำคัญเท่า วันเลือกตั้งถูกล็อกไว้แล้วคือ 29 มีนาคม 2569 หากการยุบสภาเป็นไปตามที่อนุทินได้ประกาศในวันแถลงนโยบายคือ 31 มกราคม
*อย่างไรก็ตาม ข้อน่ากังวลสำหรับร่างรัฐธรรมนูญต้องไปรอดูการลงมติ ในวาระ 3 ที่ต้องอาศัยเสียงหนุนจาก สว. 1 ใน 3 หรือ 66 เสียง แม้ว่าในวาระแรกเงื่อนไขตรงนี้จะผ่านไปได้ แต่นั่นเป็นไปตามสัญญาณทางการเมือง ยังไม่ถึงจุดชี้ชะตา ถ้าหากกระบวนการแก้ไข ไปล้างสิ่งที่เป็นกลไกของเผด็จการสืบทอดอำนาจทั้งหมด เป็นผลให้ความได้เปรียบทางการเมืองของพรรคสีน้ำเงินและ สว.ลิ่วล้อเสียไป ก็มีโอกาสถูกคว่ำในวาระสุดท้ายได้ ยังไว้วางใจอะไรไม่ได้
*บอกไปแล้วว่าสถานการณ์ทางการเมืองเป็นอะไรที่ต้องดูกันแบบวันต่อวัน ช็อตต่อช็อต หากไม่มีอะไรเพลี่ยงพล้ำ ทุกอย่างก็สามารถที่จะเดินไปตามไทม์ไลน์ที่วางไว้ได้ แต่หากเห็นว่ามีจังหวะที่กระแสมาดี เลือกตั้งแล้วมีโอกาสจะได้รับชัยชนะกลับมาเป็นรัฐบาล 4 ปี ไม่ใช่ 4 เดือน ผู้มีอำนาจเต็มสามารถยุบสภาได้ ย่อมตัดสินใจช่วงชิงความได้เปรียบ โดยไม่คำนึงถึงว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะแล้วเสร็จหรือไม่ ของพรรค์นี้ อย่าคิดว่าเป็นไปไม่ได้
*ต้องติดตามควบคู่กันไปคือการขยับของแต่ละพรรคการเมือง พรรคหัวแถวอย่าง ประชาชน เพื่อไทย ต้องปรับทัพกันขนานใหญ่ เพราะ ความร้อนแรงของภูมิใจไทยที่แสดงพลังดูดอภิมหาศาลให้เห็นกันต่อเนื่อง ที่น่าเป็นห่วงคงหนีไม่พ้นประชาธิปัตย์ การกลับมากอบกู้ของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สร้างความหวังได้หรือไม่เป็นเครื่องหมายคำถามตัวเบ้อเริ่ม ด้วยเหตุคนที่กลับมาล้วนแต่เป็นคนเก่าและแก่สมกับพรรคที่อยู่มานาน ถ้าไม่รื้อโครงสร้าง เปลี่ยนโฉมกันขนานใหญ่ สุดท้ายจะอยู่ในภาวะสาละวันเตี้ยลงเหมือนเดิม
อรชุน