
พาราสาวะถี
เอาแล้วไง! เพิ่งประกาศไทม์ไลน์เรื่องวันเลือกตั้งและการประกาศทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อที่ประชุมรัฐสภาไปหมาด ๆ
อรชุน
*เอาแล้วไง! เพิ่งประกาศไทม์ไลน์เรื่องวันเลือกตั้งและการประกาศทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญต่อที่ประชุมรัฐสภาไปหมาด ๆ ล่าสุด บวรศักดิ์ อุวรรณโณ สื่อสารเหมือนเป็นการส่งสัญญาณอะไรบางอย่าง ซึ่งบรรดาคอการเมืองทั้งหลายคงไม่ได้ตกใจหรือเห็นเป็นเรื่องแปลก เกี่ยวกับเหตุการณ์ทางการเมือง ที่อาจจะมีการยุบสภาก่อนเวลาอันควร เพราะรองนายกฯ รายงานนี้ชี้ว่า “เหตุการณ์ทางการเมืองทั้งหมดเราไม่รู้ สื่อก็รู้ว่าการเมืองเปลี่ยนทุกวัน ไม่ได้เปลี่ยนทุกเดือน แต่วันนี้ก็คืออย่างนี้ ยังไม่มีเหตุให้เปลี่ยน” หลังถูกถามเรื่องเอ็มโอเอเปลี่ยน จะทำให้ทิศทางทางการเมืองที่วางกันไว้เปลี่ยนไปด้วยหรือไม่
*ขณะเดียวกัน มีอีกหนึ่งคำตอบของบวรศักดิ์ที่ชวนให้คิดถึงการคาดเดาที่เคยบอกไปก่อนหน้า เกี่ยวกับ การยุบสภาก่อนเวลาอันควร นั่นก็คือ ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ หลังจากที่ประชุมรัฐสภาตีตกร่างของพรรคเพื่อไทย ด้วยเสียงของ สว.ไม่ถึง 1 ใน 3 เป็นการแสดงให้เห็นของพลัง สว.สายสีน้ำเงินได้อย่างชัดเจน แต่ปมที่จะทำให้เป็นปัญหาปลายทางก็คือ การผ่านความเห็นชอบในวาระ 3 ที่จะต้องใช้เสียง สว.รับรองร่างที่ผ่านการพิจารณาของคณะกรรมาธิการในสัดส่วนเดียวกับวาระแรก
*เพราะการที่ประชุมโหวตให้ใช้ร่างของพรรคประชาชนเป็นร่างหลัก เท่ากับเป็นการตบหน้าพรรคภูมิใจไทย หากในชั้นของคณะกรรมาธิการไม่มีการเจรจา รอมชอมแล้ว เนื้อหาออกมาในแนวทางที่ไม่ใช่ความต้องการของฝ่ายอนุรักษ์นิยม ย่อมมีโอกาสที่ร่างจะถูกล้มตั้งแต่ยังไม่ได้ทันได้ตั้งไข่ กันเลยทีเดียว อีกประการที่จะทำให้กระบวนการที่พิจารณากันอยู่มีอันต้องเก็บเข้าลิ้นชัก นั่นก็คือ การชิงยุบสภา ของ อนุทิน ชาญวีรกูล ในจังหวะที่เห็นว่ากระแสของพรรคสีน้ำเงินดีกว่าพรรคคู่แข่งอื่น ๆ
*ประเด็นนี้ ถ้าถอดรหัสจากคำพูดของบวรศักดิ์แล้ว ก็ทำให้เห็นแนวโน้มว่ามันจะเป็นไปแบบไหน กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่ในกระบวนการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ แล้วเกิดการเปลี่ยนรัฐบาลสภายังสามารถดำเนินการต่อไปได้ แต่ ถ้ายุบสภาถือว่าจบ แทบจะไม่ต้องคิดต่อไปว่า ความโน้มเอียงของสถานการณ์มันจะเดินไปในรูปแบบใด ที่อ้างว่ายังสามารถหยิบเรื่องนี้มาพิจารณาได้หลังมีรัฐบาลใหม่ได้ภายใน 60 วัน ถามว่า ถ้ารัฐบาลมีภูมิใจไทยเป็นแกนนำจะทำอย่างนั้นหรือ
*หากพิจารณาจากท่วงทำนองแบบนี้ ถามต่อไปว่า แล้วประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญในช่วงที่มีการเลือกตั้งยังจะทำกันอีกหรือไม่ ถ้าไม่อยากถูกโจมตีว่าเกิดการบิดพลิ้วไม่ทำตามสัญญา พรรคสีน้ำเงินก็ต้องทำ จะเหลือคำถามเดียวคือ เห็นชอบหรือไม่เห็นชอบในการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ จากที่ถ้ามีร่างที่แก้ไขแล้วของรัฐสภา จะต้องมีคำถามเพิ่มคือ เห็นชอบกับเนื้อหาของร่างรัฐธรรมนูญที่มีการแก้ไขหรือไม่ ท่าทีพลิกไปพลิกมาของฝ่ายกุมอำนาจ ก็เป็นบทพิสูจน์ความจริงที่ว่า ความน่าเชื่อถือของนักการเมืองจะวัดกันได้ก็ต่อเมื่อคนๆ นั้นได้เข้าสู่อำนาจที่ต้องการแล้วเท่านั้น
*ความจริงอย่างที่เห็นกัน คนที่เซ็นข้อตกลงกับหัวหน้าพรรคสีส้มได้ชื่อว่าเป็นลูกศิษย์ก้นกุฏิของนักเลือกตั้งระดับปลาไหลใส่สเก็ต จึงไม่ต้องสงสัยว่ามันจะเกิดการหักมุมในตอนจบหรือไม่ เมื่อเลือกที่จะเสี่ยงก็ต้องไปวัดกันในการเลือกตั้งครั้งหน้า ประชาชนยังยึดกระแสเพื่อหวังความเปลี่ยนแปลงเหมือนที่ผ่านมา หรือจะ พ่ายแพ้ต่อการใช้ความได้เปรียบจากอำนาจบริหารโดยนักเลือกตั้งและพรรคการเมืองที่ได้รับแรงหนุนอย่างสุดลิ่มทิ่มประตูจากอนุรักษ์นิยม และอุ้มสมจากพลังวิเศษ
*ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่สุ่มเสี่ยงว่าจะแท้งระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการ ไม่ได้มีแค่ปัจจัยการชิงยุบสภาของฝ่ายกุมอำนาจ หากแต่ยังมีเรื่องของสมัยประชุมที่ปิดลงในวันที่ 31 ตุลาคมนี้ด้วย ก่อนจะกลับมาเปิดประชุมอีกครั้งต้นปีหน้า ถ้ายึดไทม์ไลน์ที่บวรศักดิ์ ได้บอกไว้ หากไม่มีการขอเปิดประชุมสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาเรื่องนี้โดยเฉพาะเพื่อให้ร่างผ่านวาระ 3 ได้ภายในกลางเดือนธันวาคม หมายความว่า การทำประชามติจะไม่สามารถทำได้ แต่จะไปปรักปรำกล่าวหาว่านักเลือกตั้งกำลังเล่นปาหี่ให้ประชาชนเสียทีเดียวคงไม่ถูกนัก ต้องรอดูพรรคสีส้มจะสามารถต่อรองอะไรได้หรือไม่
*ส่วนคำขู่ที่ว่าถ้าอนุทินกับพรรคพวกคิดจะเบี้ยว เดี๋ยวจะจับมือกับเพื่อไทยขอเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจก็สามารถล้มรัฐบาลได้ แบบนี้ยิ่งเข้าทางความต้องการที่จะหาเหตุเพื่อนำไปสู่การยุบสภาได้ทันที ข้ออ้างเรื่องกลัวได้นายกฯ คนนอกจึงยกมือหนุนเสี่ยหนูของพรรคสีส้ม มันก็แค่คำแก้ตัวเพื่อสร้างภาพให้ดูดีเท่านั้น เบื้องหลังเป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าเพราะเหตุใด การส่งสารเรื่อง “Grand Compromise” หรือ “การประนีประนอมครั้งใหญ่” ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ น่าจะอธิบายเรื่อง
*ความตั้งใจหรือจะเรียกว่าความฝันของบรรดานักเลือกตั้งที่อ้างว่าอยู่ฝ่ายประชาธิปไตยเต็มร้อย ที่ต้องการเห็นตั้งกติกาที่เป็นธรรม ทำลายกลไกนิติสงครามลงให้ได้นั้น มันได้ถูกทำลายไปพร้อมๆ กับการยกมือหนุนอนุทินขึ้นมาเป็นนายกฯ ของพรรคสีส้ม เพราะทุกอย่างเด่นชัดทั้ง ความเป็นตัวแทนสายตรงอนุรักษ์นิยม อุดมการณ์ทางการเมืองที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง กับพรรคส้มและพรรคสีแดง ติดปีกให้พรรคสีน้ำเงินไปแล้ว จะสอยให้ร่วงได้ยังไง เมื่อทุกองคาพยพรู้กันอยู่แล้วว่าสร้างมาเพื่อใคร
*เมื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่สำเร็จ ย่อมหมายถึง ความพยายามทั้งหลายได้ล้มเหลวไปโดยปริยาย ลองนึกภาพตามหลังเลือกตั้ง ยังมองไม่ออกว่าพรรคสีส้มจะสามารถเข้าร่วมขบวนของอำนาจบริหารได้อย่างไร เป้าหมายที่จะชนะเลือกตั้งแบบถล่มทลายตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้นั้น ดูจากสถานการณ์ ณ เวลานี้ บอกได้คำเดียวว่ายากเหลือเกิน เพราะ ฝ่ายอนุรักษ์นิยมกำลังขับเคลื่อนกันทุกฝ่าย ทำกันเป็นระบบ สร้างบรรยากาศ เลี้ยงกระแสชาตินิยมให้อยู่ยาวจนถึงเลือกตั้ง เพื่ออุ้มพรรคสีน้ำเงินกลับมาเป็นแกนนำรัฐบาลอยู่กันยาว ๆ