
“กสิกรไทย” ชี้หุ้นไทยปี 69 อัพไซด์จำกัด แนะลงทุนกลุ่ม Defensive-ปันผลสูง
บล.กสิกรไทย ประเมิน SET ปี 68 อัพไซด์ราว 5% หลังรับปัจจัยบวกครบ ด้านปี 69 มองแนวต้าน 1,380 จุด กำไรต่อหุ้นของ บจ. แตะ 91 บาทต่อหุ้น แนะกลยุทธ์ 2D เน้นหุ้นโรงไฟฟ้า-ปันผลสูง PTTEP, BGRIM, SCC, BEM เด่น
นายสรพล วีระเมธีกุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ หัวหน้าทีมกลยุทธ์การลงทุน บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยในงานสัมมนา “จับจังหวะลงทุน ทองก็รุ่ง หุ้นก็ปัง” ในหัวข้อ “หุ้นไทยไตรมาส 4 Bull Run?” ว่า ภาพรวมตลาดหุ้นไทยในปีนี้ประเมินแนวต้านไว้ที่ 1,275 จุด โดยช่วงที่เหลือของปีมองว่าอัพไซด์มีจำกัด หลังจากตลาดได้ตอบรับข่าวบวกสำคัญไปแล้ว ทั้งการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่และนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล
โดยในปี 2569 ดัชนี SET มีแนวต้านที่ระดับ 1,380 จุด หรือมีอัพไซด์ราว 5% จากปีนี้ โดยคาดว่ากำไรต่อหุ้นของบริษัทจดทะเบียน (EPS) ปี 2568 อยู่ที่ประมาณ 88 บาทต่อหุ้น และปี 2569 เพิ่มขึ้นเป็น 91 บาทต่อหุ้น ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนมกราคมถึงกันยายนที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงขายจากกองทุนรวมเพื่อการออมระยะยาว (LTF) ซึ่งโดยปกติจะมีแรงขายเฉลี่ยปีละ 30,000-35,000 ล้านบาท แต่ปีนี้สูงเกือบ 100,000 ล้านบาท ส่งผลให้ดัชนี SET ถูกกดดันลง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าแรงขายส่วนใหญ่ได้ผ่านไปแล้ว
สำหรับปี 2569 มองว่าการขับเคลื่อนเศรษฐกิจจะมาจากการเบิกจ่ายงบประมาณภาครัฐและการลงทุนในธุรกิจศูนย์ข้อมูล (Data Center) แต่การเบิกจ่ายภาครัฐยังมีความเสี่ยงจากสถานการณ์การเมืองในประเทศ เนื่องจากคาดว่าจะมีการเลือกตั้งใหม่ช่วงต้นปี และอาจได้รัฐบาลใหม่ในเดือนมีนาคมถึงเมษายน 2569 ซึ่งอาจทำให้การเบิกจ่ายงบประมาณล่าช้าเล็กน้อย ส่งผลให้การเติบโตของเศรษฐกิจไทยอาจไม่โดดเด่นนัก โดยเฉพาะภาคการส่งออกและการท่องเที่ยวที่อาจชะลอตัว
อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ช่วยจำกัดความเสี่ยงด้านลบ (Downside) ของตลาดหุ้นไทย คือฐานะทางการเงินและการคลังของประเทศที่ยังแข็งแกร่ง รวมถึงอัตราการจ่ายเงินปันผลของบริษัทจดทะเบียนที่อยู่ในเกณฑ์ดี ทำให้หุ้นกลุ่ม Defensive และหุ้นปันผลยังน่าสนใจลงทุนในช่วงที่ตลาดผันผวน
ทั้งนี้ บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย แนะนำกลยุทธ์ “2D” คือเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่ม Defensive และ Dividend Yield โดยเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 4% ซึ่งสูงเมื่อเทียบกับตลาดภูมิภาค พร้อมแนะนำหุ้นเด่น ได้แก่ PTTEP, BGRIM, SCC และ BEM ขณะที่กลุ่มรองลงมาที่น่าสนใจคือกลุ่มโรงพยาบาล