
พาราสาวะถี
เขมรปล่อยข่าว หรือมีเค้าลางมาจากวงประชุม 4 ฝ่าย ไทย-กัมพูชา-มาเลเซีย และสหรัฐอเมริกา เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่กรุงกัวลาลัมเปอร์
เขมรปล่อยข่าว หรือมีเค้าลางมาจากวงประชุม 4 ฝ่าย ไทย–กัมพูชา–มาเลเซีย และสหรัฐอเมริกา เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาที่กรุงกัวลาลัมเปอร์ ถ้าไม่มีมูลเหตุใด ปรัก โซะคน รองนายกฯ และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศเขมร ถึงได้พูดหน้าตาเฉย ฝ่ายไทยได้ตกลงที่จะปล่อยตัวเชลยศึกกัมพูชา 18 นายทันทีหลังลงนาม “ประกาศความสัมพันธ์ไทย–กัมพูชา นำไปสู่การปรับฟื้นฟูความสัมพันธ์” บนเวทีอาเซียนซัมมิท 26-28 ตุลาคมนี้ ของนายกฯทั้งสองประเทศ โดยมี โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาเป็นประธาน
งานนี้สารพัดโฆษก สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกรัฐบาล พลตรีวิทัย ลายถมยา โฆษกกองบัญชาการกองทัพไทย และ พลตรีวินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก ต้องประสานเสียงตอบโต้ ยืนยันเรื่องดังกล่าวไม่เป็นความจริง จะไม่มีการปล่อยตัวใด ๆ จนกว่าอีกฝ่ายจะปฏิบัติตาม 4 เงื่อนไขที่ประเทศไทยร้องขอถอนกำลังทหาร เก็บกู้ทุ่นระเบิด จัดการปัญหาสแกมเมอร์ และผลักดันชาวกัมพูชาที่รุกล้ำอยู่อธิปไตยของไทยออกจากพื้นที่
จากที่ฟัง สีหศักดิ์ พวงเกตุแก้ว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ไม่ใช่เรื่องความเข้าใจผิดของฝั่งเขมรแน่ แต่เป็นการพูดความจริงแค่ครึ่งเดียว เพราะผลจากการหารือ 4 ฝ่าย เจ้ากระทรวงบัวแก้วของไทยยอมรับว่ามีการคุยเรื่องปล่อยตัวเชลยศึกจริง แต่ไม่ใช่ลงนามปุ๊บปล่อยปั๊บ ฝ่ายไทยจะยอมปล่อยตัวเมื่อฝั่งเขมรได้ปฏิบัติตามข้อตกลงแล้วเท่านั้น สัญญาณที่อ่านได้จากรัฐมนตรีต่างประเทศของเราก็คือ กัมพูชาเริ่มตอบรับเงื่อนไขบ้างแล้ว
แค่เท่านี้คงไม่เพียงพอที่จะทำให้คนไทยส่วนใหญ่เชื่อมั่นได้ เพราะเล่ห์เหลี่ยมของเขมรนั้นแพรวพราวหรือเกิน ไม่ใช่แค่ต้องการเอาใจผู้นำสหรัฐฯ หรืออ้างผลประโยชน์ระหว่างประเทศ เนื่องจากการกระทำของอีกฝ่ายนั้นได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเป็นทั้งผู้รุกราน ไม่เลือกเป้าหมาย สังหารคนไทยผู้บริสุทธิ์กว่า 10 ราย และยังละเมิดข้อตกลงหยุดยิงอย่างต่อเนื่อง เรื่องเหล่านี้จะต้องให้ฝ่ายประเทศมหาอำนาจกดดันให้ผู้นำเขมรประกาศเป็นพันธสัญญาให้นานาประเทศได้รู้ว่า จะไม่ใช้วิธีสกปรก โสมมแบบที่ผ่านมาอีก
แต่ด้วยความที่ ไว้ใจไม่ได้ คงต้องไปดูท่าทีของกองทัพทำใจได้กับการที่จะยุติการสู้รบ หรือถอนกำลังทั้งที่ทางการข่าวก็รู้ดีว่า เขมรมีการเสริมกำลังและพร้อมที่จะเปิดฉากโจมตีไทยอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะจุดที่ทำให้ฮุน เซน เสียหน้าอย่างภูมะเขือ อย่างไรก็ตาม หากประเมินจากท่วงทำนองที่เคยแข็งกร้าวต่อการจัดการปัญหาบ้านหนองจาน และหนองหญ้าแก้ว จังหวัดสระแก้ว ก่อนหน้ากับ ณ ปัจจุบัน ก็ทำให้เห็นสัญญาณของความเปลี่ยนแปลงบางอย่างอยู่ไม่น้อย
ในฐานะตัวแทนสายตรงของอนุรักษ์นิยม เป็นที่รู้กันอยู่ว่าทุกภาคส่วน ทุกองคาพยพพร้อมอุ้มสม อนุทิน ชาญวีรกูล อย่างเต็มที่ ทว่าบางอย่างที่อ่อนไหวต่อความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่ก็ต้องชั่งน้ำหนักเพื่อไม่ให้เกิดปัญหา เป็นกระแสรุกฮือที่ไม่ว่าพลังใดก็ยากที่จะควบคุมได้ เช่นเดียวกับ กรณีการทำประชามติยกเลิกเอ็มโอยู 43-44 หลัง บวรศักดิ์ อุวรรณโณ เรียกประชุมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ตามมาด้วยการทำหนังสือถึงเลขาธิการกกต.ของเลขาธิการนายกฯ เพื่อให้เสี่ยหนูเข้าหารือเรื่องทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญกับยกเลิกเอ็มโอยูในวันที่ 24 ตุลาคมนี้ อาจเป็นเพียงแอ็คชั่นที่ทำให้เห็นว่าได้ดำเนินการอย่างเต็มที่
แม้หลังการประชุมที่บวรศักดิ์นั่งหัวโต๊ะ ทุกคนปฏิเสธที่จะให้รายละเอียด แต่ ไชยชนก ชิดชอบ พูดน้ำเสียงหนักแน่นทุกฝ่ายสามัคคี และมีข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ แค่ต้องกลับไปทำการบ้าน นำเสนอข้อดีข้อเสียของการยกเลิกเอ็มโอยูทั้งสองฉบับดังกล่าว ที่ต้องขีดเส้นใต้คงเป็นประเด็นของคำถามหากจะเดินหน้าทำประชามตินอกจากยกเลิก ไม่ยกเลิกแล้ว ยังจะมีพ่วงว่าหรือเห็นควรต้องปรับปรุง ถ้าจะขนาดนั้น ไม่จำเป็นต้องไปถามประชาชน รัฐบาลใช้ความกล้าหาญตัดสินใจให้เด็ดขาดจะเอาแบบไหน โดยใช้ชุดข้อมูลของทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องเป็นประกอบการพิจารณา
เห็นได้ชัดว่าการอ้างเป็นนโยบายของรัฐบาลที่จะต้องทำในเรื่องนี้ แท้จริงแล้วเป็นเพียงการจะใช้กระแสความรักชาติ หรือชาตินิยมเพื่อหวังทั้งผลการเลือกตั้ง เบี่ยงเบนความสนใจเรื่องประชามติแก้รัฐธรรมนูญ เป็นการเดินหมากแบบพวกเขี้ยวลากดิน ซึ่งต้องไม่ลืมคำว่ากระแสย่อมมีขึ้นมีลง ถ้ายังคงต้องการเอาใจพี่เบิ้มของโลก โดยไม่สนความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ ไม่แน่ว่ากระแสอาจตีกลับ กองทัพที่สนับสนุนอย่างเต็มที่ด้วยพลังหนุนหลังของท่านผู้นำที่ไม่อาจปฏิเสธ อาจถึงเวลาที่ต้องทบทวนท่าที
ของพรรค์นี้ยิ่งนานวันคนอาจจะเบื่อหน่าย เห็นแต่การเอาอกเอาใจ บางทีอาจจะกลายเป็นจุดอ่อนให้ถูกนำไปโจมตีจากคู่แข่งทางการเมืองได้ มีแหย่เป็นน้ำจิ้มมาแล้ว จาก อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หลังจากได้รับเลือกให้กลับมานั่งเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ มีการเปิดใจร่ายยาว แต่มีวลีทองที่ทำให้สะดุดหูนั่นก็คือ บางพรรคโหนสถาบันและกองทัพ แทบจะไม่ต้องเฉลยว่าที่พูดหมายถึงพรรคใด เป็นธรรมดาประสาไก่เห็นตีนงู ต่างกันแค่ พรรคหนึ่งเคยเป็นอีแอบกับฝ่ายอนุรักษ์ แต่พรรคปัจจุบันคือสายตรงอย่างแท้จริง
เห็นการกลับมาของเหล่าบรรดาผู้อาวุโสของพรรคเก่าแก่ เพื่อร่วมกันกอบกู้ประชาธิปัตย์ ไม่ได้ปรามาสแต่อภิสิทธิ์ยอมรับเอง สิ่งที่เป็นไปได้มากที่สุดในการหวนคืนมาเป็นผู้นำพรรค ไม่มีทางได้กำไร อย่างมากสุดก็เสมอตัว แต่น่าจะขาดทุนไม่มากก็น้อย ถือเป็นการยอมรับในบริบททางการเมืองที่เปลี่ยนไป ไม่ใช่การออกตัว กระนั้นก็ตาม ท่วงทำนองที่แสดงออกแบบนี้น่าจะทำให้ การขับเคี่ยวทางการเมืองว่าด้วยวาทกรรมกลับมามีสีสันมากขึ้น นอกจากพรรคพลังดูดที่คึกคักกว่าใครแล้ว ไม่ใช่แค่ประชาธิปัตย์ ทั้งเพื่อไทยและประชาชนก็ต้องเข้าสู่โหมดปรับทัพขนานใหญ่เช่นเดียวกัน
อรชุน