พาราสาวะถี

ชัยชนะจากการเลือกตั้งซ่อมเขต 5 ศรีสะเกษ ต่อเนื่องเขต 4 กาญจนบุรี ที่ตกเป็นของพรรคภูมิใจไทย สร้างความมั่นใจให้กับ อนุทิน ชาญวีรกูล ถึงขั้นประกาศ อาจมีการยุบสภาก่อนวันที่ 31 มกราคม 2569 เป็นไปอย่างที่บอกไว้ก่อนหน้า ฝ่ายกุมอำนาจเมื่ออยู่ในจุดที่ได้เปรียบย่อมชิงลงมือ ไม่ต้องยึดถืออะไรที่เป็นคำมั่นสัญญา เห็นกันอยู่ว่าผลของการคว้าชัยทั้งสองแห่ง ไม่ใช่เรื่องของกระแสแต่เป็นผลพวงจากเข้าสู่อำนาจรัฐล้วน ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งพื้นที่เมืองกาญจน์

ไม่ต้องปฏิเสธ หากเป็นไปอย่างที่เสี่ยหนูว่า พร้อมจะเข้าสู่สนามเลือกตั้งตั้งแต่แยกตัวออกจากรัฐบาล แพทองธาร ชินวัตร แล้ว ไม่ใช่ความพร้อมในฐานะฝ่ายค้าน แต่เป็นเพราะเชื่อมั่นว่าจะได้กลับมากุมอำนาจบริหาร ด้วยแรงผลักดันอันวิเศษ พร้อมแรงหนุนที่ไม่มีใครทัดทานได้ นาทีนี้จึงมองข้ามเรื่องจะเบียดชนะเพื่อไทยไปรั้งอันดับ 2 ในการเลือกตั้งหรือไม่ หวังกันไว้ถึงขั้นมาแรงแซงทางโค้งคว่ำพรรคประชาชนยืนเป็นพรรคอันดับ 1 กันเลยทีเดียว

ไม่เพียงแต่ความได้เปรียบในการกุมอำนาจรัฐ ทุกองคาพยพพร้อมที่จะสนับสนุนแบบเต็มใจไม่ได้เป็นแบบสู้แบบกล้า ๆ กลัวๆ เหมือนยุคเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ แก๊ง 3 ป.แตกคอกันก่อนเลือกตั้งปี 2566 ยังมีเรื่องของพลังดูดมหาศาลทั้งคนจากเพื่อไทย และประชาธิปัตย์ ที่เปิดตัวแสดงตนกันไปก่อนหน้าแค่น้ำจิ้ม ยังมีอีกล็อตใหญ่ ถึงเวลานั้นเรียกได้ว่า กล้วยขายดิบขายดีรับกันน่าจะแตกหลักเกือบร้อยกิโล ประเมินกันว่าโดยภาพรวม น่าจะสะพัดเฉพาะการย้ายคอกอาจทะลุไปเกิน 5 ตัน กันเลยทีเดียว

ไม่ใช่ตัวเลขที่เว่อร์วังแต่อย่างใด ในทางการเมืองไม่ใช่แค่แจกแค่กล้วยรับกันสด ๆ เท่านั้น โดยพลังของการกุมอำนาจรัฐ ยังสามารถแปรสภาพเป็นเงินทอนในรูปแบบงานของภาครัฐ ส่วนราชการตามจังหวัดต่าง ๆ บรรดานักเลือกตั้งที่มีนอมินีเป็นบริษัทรับงานทั้งหลาย ส่วนใหญ่จะเป็นในรูปแบบของบริษัทรับเหมาก่อสร้าง บางจังหวัดขอแค่ได้รับการจัดสรรให้ 2-3 งานก็พุงกางกันแล้ว นั่นจึงเป็นเหตุผลสำคัญให้ พวกปากมันพร้อมที่จะเปลี่ยนสังกัดกันโดยไม่ลังเล ยิ่งได้เห็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กที่อุ้มสมเสี่ยหนูด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ตัดสินใจกันง่ายขึ้น

ขณะที่พรรคนายใหญ่ แม้จะขยับปรับตัวสู้แต่ด้วยความที่สองปีของการเป็นผู้นำรัฐบาล ไม่สามารถสร้างผลงานให้เป็นที่ประทับใจได้ ประกอบกับการสะสมกระสุนก็ทำได้ไม่เต็มที่ จึงยังจะไม่ทุ่มร้อยในการเลือกตั้งหนนี้ แต่จะประคองให้ สส.และสมาชิกเก่าส่วนใหญ่อยู่กับพรรคให้ได้มากที่สุด เพื่อรอจังหวะหลังการเลือกตั้งครั้งใหม่ จะได้เข้าร่วมรัฐบาลหรือเป็นฝ่ายค้าน แต่มีความเชื่อว่า การจัดสรรตำแหน่งแย่งเก้าอี้กันมันจะไม่ง่ายเหมือนรัฐบาลเสียงข้างน้อย ซึ่งนั่นจะส่งผลถึงเสถียรภาพ ความมั่นคงของรัฐบาล ถึงเวลานั้นค่อยขยับรุกไล่กันอีกที ขอเป็นประเภทหัวเราะทีหลังดังกว่า

ขบวนการแจกกล้วย พลังดูดที่มีมานับตั้งแต่ยุครัฐบาลเผด็จการสืบทอดอำนาจจนถึงวันนี้ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ชี้ สส.ของพรรคเก่าแก่ปัจจุบัน หลังจากได้พูดคุยกันก่อนเลือกหัวหน้าพรรค ต่างยอมรับกันแต่โดยดีอาจไม่ได้ร่วมงานกันต่อ ซึ่งตนก็ เข้าใจข้อเท็จจริงทางการเมือง แต่ต้องพยายามให้ดีที่สุด เพราะเมื่อการมาตั้งต้นใหม่ในตำแหน่งผู้นำพรรค ก็พยายามพูดคุย เพราะอยากจะรักษาบุคลากรทางการเมืองทุกคนไว้ให้ได้

ความจริงที่หนีไม่พ้นคือ ธรรมชาติของการเมืองเมื่อมีการไปพูดคุยเจรจาอะไรกันไว้ ก็ต้องทำตามที่ได้ตกปากรับคำกัน คนที่มีแต่หัวใจเข้ามาเพื่อฟื้นฟูพรรคจึงต้องก้มหน้ารับชะตากรรม เหมือนจะปลงตก ทำใจก่อนกลับมา แต่ท่วงทำนองของอภิสิทธิ์ก็ทำให้เห็นว่าการเมืองหลังยุคเผด็จการสืบทอดอำนาจ ที่รัฐธรรมนูญฉบับอ้างปราบโกง และมีเป้าประสงค์ด้อยค่าพรรคการเมืองนั้น ในทางกลับกันกลับ มีช่องโหว่มหาศาลให้นักเลือกตั้งที่ได้รับการประเคนข้อเสนอจนจุใจ ย้ายคอกกันได้ง่ายดายอย่างสบายใจเฉิบ

เมื่อเสี่ยหนูส่งสัญญาณจะยุบสภาก่อนไทม์ไลน์ที่ได้ประกาศไว้ในสภา เท่ากับว่า ร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญที่อยู่ในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ รัฐสภา มีความเป็นไปได้สูงที่จะเป็นหมัน ข้อตกลงหรือเอ็มโอเอ ที่ทำกันไว้ระหว่างหัวหน้าพรรคส้มกับอนุทินก็ทำท่าว่าจะล่มไปตามกระบวนการ แน่นอนว่า พรรคสีน้ำเงินย่อมอ้างทุกอย่างที่ทำถือเป็นกลไกของระบอบประชาธิปไตย ระบบรัฐสภาเมื่อมีการคืนอำนาจให้ประชาชน ทุกอย่างก็ต้องไปตั้งต้นกันใหม่

คงไม่สามารถเรียกร้อง หรือชี้ชวนให้สังคมเห็นใจว่าถูกเบี้ยวถูกหลอกสำหรับพรรคสีส้ม เพราะการตัดสินใจยกมือหนุนให้เสี่ยหนูขึ้นเป็นผู้นำประเทศ เกิดจากการตัดสินใจที่พรรคของตัวเองอ้างว่ากลัวจะได้นายกฯ คนนอก ประกอบกับผู้นำพรรคตัวจริงก็เป็นคนประกาศไว้เอง ใครทำอะไรไว้ประชาชนจะจดจำ ถึงนาทีนี้ก็ต้องก้มหน้ารับชะตากรรม มากไปกว่านั้นคือ ต้องเร่งเช็คยอด สส.ของพรรคจะเหลือไปถึงการจัดวางตัวผู้สมัครรับมือเลือกตั้งครั้งใหม่กี่คน 

ขณะที่การหวนคืนสู่สนามการเมืองอีกคำรบของอภิสิทธิ์นั้น ได้ฟังฝีปากกันแล้วยังคมกริบเหมือนเดิม ในแง่วิสัยทัศน์ มุมมองต้องยอมรับว่าเปลี่ยนไปตามอายุที่เพิ่มขึ้น แต่ยังต้องรอพิสูจน์ฝีมือในการนำพาพรรคเก่าแก่ จะสามารถก้าวข้ามพ้นข้อครหาที่พูดค่อนขอดมาตลอดว่าเป็นพรรคจอมหลักการ ดีแต่พูด เอาดีเข้าตัว ได้หรือไม่ ที่แน่ ๆ น่าจะเลิกอิงแอบกับอนุรักษ์นิยมเหมือนที่ผ่านมา หลังจากสัมผัสกับความเป็นจริงอันเจ็บปวด ทั้งรัฐบาลในค่ายทหาร และการเป็นส่วนหนึ่งของการทำให้เกิดรัฐประหารสองหน หวังอานิสงส์จะทำให้พรรคเติบใหญ่ แต่กลับเป็นไปในทางตรงข้าม ตกต่ำอย่างน่าใจหาย

อรชุน