Merkle Capital ชี้ พ.ย. จุดเปลี่ยนตลาด “คริปโท” หลังแรงกดดันสหรัฐแตะขีดสุด

บริษัท เมอร์เคิล แคปปิตอล จำกัด (Merkle Capital) เปิดเผยมุมมองต่อทิศทางตลาดคริปโทเคอร์เรนซีในเดือนพฤศจิกายน โดยระบุว่าเป็น “จุดเปลี่ยนสำคัญ” หลังจากเดือนตุลาคมที่ผ่านมาสินทรัพย์เสี่ยงทั่วโลกเผชิญความผันผวนสูง โดยเฉพาะ Bitcoin ที่ปรับลดลงกว่า 15% และปิดเดือนในแดนลบเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี จากแรงกดดันของปัจจัยเศรษฐกิจมหภาคและปัญหาภาษีระหว่างสหรัฐฯ กับจีน แม้สถานการณ์ภาษีจะผ่อนคลายลงในช่วงปลายเดือน แต่ความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจและปัญหาการใช้งบประมาณของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ (US Government Shutdown) ยังคงเป็นความเสี่ยงหลักต่อการลงทุน

นายวรเมธ จันทร์เสน ที่ปรึกษาการลงทุนของ Merkle Capital เปิดเผยว่า บริษัทประเมินว่าเดือนพฤศจิกายนอาจเป็นช่วงที่ความกังวลของนักลงทุนแตะระดับสูงสุด ก่อนที่ตลาดสินทรัพย์เสี่ยงจะเริ่มฟื้นตัว โดยมีปัจจัยสนับสนุนหลัก 3 ประการ

ประการแรก สัญญาณความเสี่ยงจากระบบธนาคารสหรัฐฯ โดยข้อมูลจากอัตรา Repo Rate ชี้ว่าธนาคารกลางสหรัฐฯ (FED) เริ่มประสบภาวะขาดสภาพคล่องตั้งแต่กลางเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นครั้งแรกในรอบ 5 ปี นับจากช่วงโควิด-19 เหตุการณ์ดังกล่าวสะท้อนว่าธนาคารพาณิชย์หลายแห่งต้องพึ่งพาเงินจาก FED เพื่อเสริมสภาพคล่องระยะสั้น แสดงถึงความเปราะบางของระบบการเงิน แม้ยังไม่ถึงขั้น “Bank Run” แต่เป็นสัญญาณเตือนถึงจุดอ่อนในการบริหารสภาพคล่องของธนาคาร

ประการที่สอง ตลาดเริ่มลดความคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของสหรัฐฯ จากผลกระทบของภาวะ Repo Rate และความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจ เช่น การควบคุมเงินเฟ้อและความเสี่ยงจาก US Government Shutdown ทำให้นักลงทุนปรับลดความคาดหวังการลดดอกเบี้ยในเดือนธันวาคม จากเดิม 91.7% เหลือเพียง 69.2% ซึ่งหากธนาคารกลางคงอัตราดอกเบี้ยต่อไป จะกระทบต่อสภาพคล่องและกดดันสินทรัพย์เสี่ยงในระยะสั้น

ประการสุดท้าย Bitcoin ปิดลบในเดือนตุลาคมเป็นครั้งแรกในรอบ 7 ปี โดยนักลงทุนสถาบันขายสุทธิ Bitcoin และ Ethereum Spot ETF ต่อเนื่อง 3 วัน รวมมูลค่า BTC -1,150 ล้านดอลลาร์ และ ETH -363 ล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ราคาลงมาทดสอบแนวรับสำคัญบริเวณ 108,000 ดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม Merkle Capital มองว่า หากตลาดผ่านจุดต่ำสุดในเดือนพฤศจิกายนได้ จะเป็นโอกาสเริ่มต้นของการฟื้นตัว จากการคาดหวังว่าธนาคารกลางจะกลับมาอัดฉีดสภาพคล่องเพื่อประคองเศรษฐกิจอีกครั้ง