“เอกนิติ-ศุภจี” ถกทีมไทยแลนด์ จับตาผลได้เสีย “ซูพรีมคอร์ท” มะกันไต่สวนคดี “ภาษีทรัมป์”

รองนายกฯ “เอกนิติ” ประชุมทีมเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐฯ ร่วมกับ รมว.พาณิชย์ และภาคเอกชน เดินหน้าหารือตามขั้นตอน พร้อมติดตามการไต่สวนคดีภาษีของศาลฎีกาสหรัฐฯ


ผู้สื่อข่าวรายงานจากกระทรวงการคลังว่า วันนี้ (6 พ.ย.68) นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เป็นประธานการประชุมการเจรจาภาษีการค้ากับสหรัฐอเมริกา โดยมี นางศุภจี สุธรรมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ และผู้แทนภาคเอกชน อาทิ นายพจน์ อร่ามวัฒนานนท์ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เข้าร่วมประชุม

ก่อนหน้านี้ นายเอกนิติ กล่าวถึงกรณีที่ศาลฎีกาของสหรัฐฯ อยู่ระหว่างไต่สวนประเด็นการเก็บภาษีนำเข้า (tariffs) ของรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ว่า เป็นเรื่องภายในของสหรัฐฯ ซึ่งเราก็ต้องดูผลที่จะออกมาว่าจะเป็นอย่างไร อย่างไรก็ตาม ยืนยันว่าการเจรจาด้านภาษีและการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ยังคงดำเนินต่อไปตามขั้นตอน

เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 ในงานเลี้ยงมื้อค่ำผู้นำเขตเศรษฐกิจ เอเปค (APEC 2025) ที่สาธารณรัฐเกาหลี (ประเทศเกาหลีใต้) นายอนุทิน ชาญวีรกูล นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวถึงความคืบหน้าการหารือมาตรการภาษีสหรัฐฯ ว่า ไทยยังอยู่ระหว่างการเจรจา และรอร่างข้อตกลงฉบับล่าสุด เพื่อเตรียมลงนาม โดยได้หารือกับประธานาธิบดีสหรัฐฯ เกี่ยวกับแนวทางสนับสนุนให้ไทยได้รับเงื่อนไขที่เป็นประโยชน์

ด้านศูนย์วิจัยกสิกรไทย ระบุว่า ผลกระทบต่อไทย หากศาลฯ มีคำสั่งระงับและยกเลิกการจัดเก็บภาษีนำเข้า ภายใต้กฎหมาย International Emergency Economic Powers Act (IEEPA) จะมีผลต่อไทยผ่านภาษี Reciprocal tariff ที่ถูกจัดเก็บในอัตรา 19% ซึ่งปัจจุบันมีสัดส่วนราว 50% ของมูลค่าการส่งออกไทยไปสหรัฐฯ ได้แก่ หม้อแปลงไฟฟ้า เครื่องปรับอากาศ เครื่องพิมพ์ อัญมณีและเครื่องประดับ อาหารสัตว์ ข้าว เป็นต้น

ในขณะที่ประเทศอื่นๆ ก็จะได้รับอานิสงส์เช่นกัน โดยเฉพาะจีนที่อัตราภาษีจะลดลงเหลือ 27.6% จากเดิมที่ 47.6% ส่งผลให้สินค้าบางประเภทของไทยที่เคยได้ประโยชน์จากอัตราภาษี IEEPA ที่ต่ำกว่าจีน เช่น เครื่องปรับอากาศ อาจสูญเสียความได้เปรียบดังกล่าวไป

อย่างไรก็ตาม สินค้าส่งออกของไทย ยังคงเผชิญความเสี่ยงจากการถูกเก็บภาษีภายใต้ มาตรา 232 ในระยะข้างหน้า โดยสินค้าส่งออกไปยังสหรัฐฯ ที่ปัจจุบันยังได้รับการยกเว้นภาษีฯ มีมูลค่าราว 30–35% ของการส่งออกทั้งหมดของไทยไปยังสหรัฐฯ ซึ่งในหลายรายการมีความเสี่ยงที่จะถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติม ภายใต้มาตรา 232 อาทิ วงจรรวม ไดโอด และทรานซิสเตอร์ ที่อยู่ในกลุ่มสินค้ากึ่งตัวนำ (semiconductors) ซึ่งสหรัฐฯ กำลังอยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาและไต่สวนการจัดเก็บภาษีภายใต้ มาตรา 232 สำหรับสินค้ากลุ่มนี้โดยเฉพาะ นอกจากนี้ ยังมีสินค้าอื่น ๆ ที่อยู่ระหว่างกระบวนการพิจารณาเช่นกัน เช่น เครื่องจักรกลอุตสาหกรรม และอุปกรณ์ทางการแพทย์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อแนวโน้มการส่งออกของไทยไปสหรัฐฯ ในระยะต่อไป

Back to top button