
“ดาวโจนส์” ปิดเด้ง 74.80 จุด รับความหวังทางออก “ชัตดาวน์” เริ่มคืบหน้า
“ดาวโจนส์” ปิดเด้ง 74.80 จุด หลังมีรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการหาทางออกจากทางตันในสภาคองเกรส ซึ่งเป็นสาเหตุของการปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
ผู้สื่อข่าวรายงานวันนี้ (8 พ.ย.68) ดัชนีดาวโจนส์ และ S&P 500 ที่ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเล็กน้อยในวันศุกร์ (7 พ.ย.) ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดลดลง หลังการซื้อขายที่เป็นไปอย่างผันผวนในสัปดาห์นี้ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับภาวะเศรษฐกิจ, การปิดทำการของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ ที่ยาวนานที่สุดเป็นประวัติการณ์ และการประเมินมูลค่าหุ้นเทคโนโลยีที่สูงลิ่วซึ่งกดดันความเชื่อมั่นในการลงทุน
ทั้งนี้ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 46,987.10 จุด เพิ่มขึ้น 74.80 จุด หรือ +0.16%, ดัชนี S&P500 ปิดที่ 6,728.80 จุด เพิ่มขึ้น 8.48 จุด หรือ +0.13% และดัชนี Nasdaq ปิดที่ 23,004.54 จุด ลดลง 49.45 จุด หรือ -0.21%
สำหรับดัชนีหุ้นหลักทั้งสามตัวเคลื่อนไหวในแดนลบเกือบตลอดทั้งวัน แต่ฟื้นตัวในช่วงท้ายตลาด โดยดัชนี S&P500 และดัชนีดาวโจนส์พลิกกลับมาปิดในแดนบวกได้ หลังมีรายงานความคืบหน้าเกี่ยวกับการหาทางออกจากทางตันในสภาคองเกรส ซึ่งเป็นสาเหตุของการปิดหน่วยงานรัฐบาลกลางที่ยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์สหรัฐฯ
อย่างไรก็ตาม นักวิเคราะห์กล่าวว่า แม้ดัชนี S&P500 และดัชนีดาวโจนส์ปิดบวกในวันศุกร์ แต่เมื่อเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้านี้แล้ว ทั้งหมดยังคงปรับตัวลง โดยดัชนี Nasdaq ร่วงลงรายสัปดาห์มากที่สุดนับตั้งแต่ปลายเดือนมี.ค.ถึงต้นเม.ย. จากความกังวลเกี่ยวกับการประเมินมูลค่าที่สูงเกินจริงของหุ้นที่เกี่ยวข้องกับปัญญาประดิษฐ์ (AI) ซึ่งเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของตลาดในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา
ความกังวลเกี่ยวกับการปิดหน่วยงานรัฐบาลยังสะท้อนในผลสำรวจความเชื่อมั่นผู้บริโภคเบื้องต้นของมหาวิทยาลัยมิชิแกนประจำเดือนพ.ย. ซึ่งลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่า 3 ปี โดยผู้ตอบแบบสอบถามประเมินภาวะเศรษฐกิจปัจจุบันในแง่ลบมากที่สุดเท่าที่เคยมีมา ความเชื่อมั่นโดยรวมลดลง 29.9% นับตั้งแต่เดือนพ.ย. 2567 ซึ่งเป็นช่วงที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ผู้นำสหรัฐฯ ชนะการเลือกตั้งสมัยที่สอง
การปิดหน่วยงานรัฐบาลยังส่งผลให้ขาดข้อมูลเศรษฐกิจทางการ ซึ่งจะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ดำเนินภารกิจในการรักษาการจ้างงานอย่างเต็มที่และเสถียรภาพด้านราคาได้ยากขึ้น
บรรดาบริษัทที่อยู่ในดัชนี S&P500 มีจำนวน 446 บริษัทที่รายงานผลประกอบการไตรมาส 3 ออกมาแล้ว โดย 83% ทำกำไรได้ดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ ตามข้อมูลจาก LSEG
นักวิเคราะห์คาดว่า กำไรของบริษัทใน S&P500 จะเติบโต 16.8% เมื่อเทียบรายปีในช่วงเดือนก.ค.-ก.ย. ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากจากอัตราเติบโต 8.0% ในปีก่อนหน้า
สำหรับความเคลื่อนไหวของหุ้นรายตัวนั้น หุ้น Microchip Technology ร่วง 5.2% หลังคาดการณ์ยอดขายรายไตรมาสต่ำกว่าที่ประเมินไว้
ผู้ถือหุ้นของ Tesla อนุมัติแพ็กเกจค่าตอบแทนผู้บริหารสูงสุดในประวัติศาสตร์ให้กับ อีลอน มัสก์ ซีอีโอของบริษัท อย่างไรก็ตาม หุ้นของผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้ารายนี้ร่วงลง 3.7%
หุ้น Expedia พุ่งขึ้น 17.6% หลังจากแพลตฟอร์มท่องเที่ยวรายงานยอดจองแข็งแกร่งจากธุรกิจแบบ B2B
หุ้น Block ร่วง 7.7% หลังเปิดเผยผลกำไรไตรมาส 3 ต่ำกว่าคาด ส่วนหุ้น Take-Two Interactive ร่วง 8.1% หลังจากบริษัทประกาศเลื่อนเปิดตัวเกมยอดนิยม Grand Theft Auto VI ไปเป็นเดือนพ.ย. 2569

