
เฝ้าระวัง “น้ำท่วม” ซ้ำ! โบรกแนะเก็บ 3 หุ้นวัสดุก่อสร้าง รับดีมานด์ซ่อมแซมบ้าน
4 โบรก ประเมินเขื่อนใหญ่แตะจุดวิกฤต เร่งระบายน้ำเสี่ยงกด GDP หากน้ำล้น–ท่วมซ้ำ แนะเก็บ GLOBAL–DOHOME–HMPRO รับดีมานด์ซ่อมแซม พ่วงหุ้นโรงพยาบาลเด่น รับอานิสงส์ฝน–โรคระบาด หนุนรายได้ไตรมาส 4/68 เด่น
สถานการณ์ “น้ำท่วม 2568” กลายเป็นปัจจัยเสี่ยงใหญ่ที่นักลงทุนต้องเฝ้าระวัง หลังฝนตกต่อเนื่องทำให้เขื่อนหลักทั่วประเทศมีระดับน้ำเฉลี่ยสูงถึง 91% ของความจุ โดยเฉพาะเขื่อนภูมิพล–สิริกิติ์แตะ 97–99% ส่งสัญญาณให้กรมชลประทานต้องเร่งบริหารน้ำต่อเนื่อง
ขณะที่เขื่อนเจ้าพระยาปรับอัตราระบายเพิ่มเป็น 2,900 ลบ.ม./วินาที แม้ยังต่ำกว่าช่วงปี 2554 ที่เคยระบายเฉลี่ย 3,700 ลบ.ม./วินาที แต่ถือเป็นระดับที่ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด เพราะเป็นจุดชี้ชะตาพื้นที่เศรษฐกิจสำคัญ กทม.–ปริมณฑล
อย่างไรก็ตามโบรกประเมินสถานการณ์น้ำท่วมหลายพื้นที่ กระทบผลผลิตทางเกษตร กดดันธุรกิจในภูมิภาคที่มีน้ำท่วม แต่หลังน้ำลดการซ่อมแซม–ก่อสร้างคาดหนุนยอดขายค้าปลีกวัสดุก่อสร้างเพิ่มขึ้น ชู GLOBAL, DOHOME, HMPRO เป็นกลุ่มได้อานิสงส์มากสุดในรอบนี้ นอกจากนี้มองว่ากลุ่มโรงพยาบาลเด่น รับอานิสงส์ชัดเจนไตรมาส 4/68 เพราะปริมาณฝนสัมพันธ์กับจำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่
ด้านบล.ดาโอ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า สถานการณ์น้ำท่วมของไทย: ฝนตกต่อเนื่องในหลายพื้นที่ ควรติดตามปริมาณน้ำในเขื่อนขนาดใหญ่ และการประกาศระบายน้ำอย่างใกล้ชิด ผลกระทบจะค่อนข้างสูง (แม้จะไม่เท่าปี 2554) ซึ่งในครั้งนี้จะมีต่อผลิตผลทางการเกษตร หุ้นที่มีธุรกิจในภูมิภาค โดยเฉพาะที่มีน้ำท่วม รวมไปถึงหุ้นการเงินที่อาจเจอปัญหาหนี้เสียเพิ่มขึ้น ขณะที่โรงงานหรือนิคมฯ ส่วนใหญ่ทำกำแพงกั้นน้ำไว้แล้ว
บล.เอเชียพลัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ปัจจัยน้ำท่วมเป็นอีก 1 สิ่งที่ต้องกังวล และอาจกดดันต่อ GDP ภาพรวมทั้งการบริโภค การลงทุน รวมถึงภาคส่วนท่องเที่ยว โดยน้ำท่วมใหญ่ปี 2554 ทำให้ GDP ไทยแทบ “หยุดโต” อยู่ที่เพียง +0.8% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (ทั้งปี 2554) จากปกติที่ควรโต 4 –5%เทียบช่วงเดียวกนของปีก่อน สร้างความเสียหายราว 1.4 ล้านล้านบาท (13% ของ GDP) และหลังจาก นั้นรัฐบาลตั้งงบประมาณฟื้นฟู ประมาณ 350,000 ล้านบาท เพื่อซ่อมแซมโครงสร้างพื้นฐานและเยียวยาผู้ได้รับ
โดยผลกระทบ ข้อมูลล่าสุดจากกรมชลประทานระบุว่า ระดับน้ำในเขื่อนหลักของประเทศหลายแห่งอยู่ในเกณฑ์วิกฤต ล่าสุดเขื่อน ใหญ่หลายแห่งโดยเฉพาะ ภูมิพลและสิริกิติ์ มีน้ำเกือบเต็มความจุ (เกิน 97%) ส่งสัญญาณให้ต้องเร่งบริหาร จัดการน้ำอย่างใกล้ชิด เพื่อป้องกันการล้นเขื่อนและลดผลกระทบต่อพื้นที่ท้ายน้ำ
ขณะเดียวกันยังต้องจับตาฝน ปลายฤดูซึ่งอาจเพิ่มปริมาณน้ำไหลเข้าเขื่อนอีก หากการระบายน้ำดำเนินไปพร้อมกับฝนตกเพิ่ม มีความเสี่ยงที่ หลายพื้นที่ภาคเหนือและภาคกลางตอนล่างจะเผชิญภาวะน้ำท่วมในระยะสั้น ซึ่งต้องติดตามว่าความรุนแรงจะ เกิดขึ้นวงกว้างและนานเพียงใด
ขณะที่บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ว่า สถานการณ์น้ำท่วมปัจจุบัน หลังจากเขื่อนในภาคเหนือและตะวันตกเริ่มมีน้ำเพิ่มสูงถึงระดับ 99% และ 89% ใกล้เคียงช่วงปี 2554 ที่น้ำท่วมใหญ่ ปัจจุบันเขื่อนเจ้าพระยา (เขื่อนหลักที่กักเก็บน้ำไหลลงสู่ภาคกลาง) ประกาศทยอยปรับเพิ่มการระบาย ตั้งแต่เวลา 16.00 น. จากอัตรา 2,800 ลบ.ม./วินาที เป็นอัตรา 2,900 ลบ.ม./วินาที และคงอัตราดังกล่าวต่อเนื่องล่าสุด
สำหรับสถานการณ์ในปี 2568 แนะนำจับตาจากการเร่งระบายน้ำของเขื่อนเจ้าพระยา ที่เป็นจุดหลักกำหนดความเสี่ยงพื้นที่เศรษฐกิจ กทม. + ปริมณฑล โดยปัจจุบันการระบายน้ำอยู่ในระดับ 2,900 ลบ.ม.ต่อวินาที แต่ยังต่ำกว่าระบายน้ำเฉลี่ยปี 2554 น้ำท่วมใหญ่ที่การระบายเฉลี่ย 3,700 ลบ.ม.ต่อวินาที ทำให้มองระดับเฝ้าระวังความเสี่ยงที่มีนัยฯเบื้องต้น 3,200 ลบ.ม.ต่อวินาที
ขณะที่กรณีน้ำในพื้นที่กักเก็บที่สูงในปัจจุบัน ประเมินปัญหาน้ำท่วมที่เกิดขึ้นยังอยู่ในระดับที่บริหารจัดการได้ แม้ปริมาณน้ำในเขื่อนและอ่างเก็บน้ำต่างๆ จะใกล้เต็มความจุแล้วก็ตาม แต่น่าจะอยู่ในช่วงปลายฤดูฝนแล้ว อิงระดับน้ำช่วงเดียวกันในอดีตที่มักทยอยลดลงหลังจากช่วงนี้
ผลกระทบหลักประเมินอยู่ที่พื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำที่น่าจะกระทบการเร่งระบายน้ำ อิงภาพถ่ายดาวเทียมของ GISTDA ที่แสดงความเสี่ยงเฉพาะพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำ ไม่ใช่การท่วมเป็นวงกว้างเหมือนมหาวิกฤติน้ำท่วมใหญ่ในปี 2554 ประเมินผลกระทบต่อ GDP และ จิตวิทยาการลงทุนจำกัดพื้นที่น้ำท่วมขังอาจเป็นอุปสรรคกดดันยอดขายกลุ่มค้าปลีกในช่วงสั้นแต่จะส่งผลดีหลังน้ำท่วมจากการซ่อมแซมและเร่งฟื้นฟูโดยเฉพาะกลุ่มค้าปลีกวัสดุก่อสร้าง (GLOBAL, DOHOME, HMPRO)
บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ว่า ปัจจุบันหากอิงจากปริมาณการกักเก็บน้ำในเขื่อนทั่วประเทศ พบว่าอยู่ในระดับ 91% ของความจุเก็บกักทั้งหมด 7.1หมื่นล้านลบ.ม. โดยเขื่อนที่ตั้งอยู่ในภาคเหนือและภาคกลางมีค่าเฉลี่ยสูงสุดเมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่นๆที่ 99% และ 92% ตามลำดับ สำหรับปริมาณฝนปีนี้อยู่ในระดับ 1,600มิลลิเมตร สูงกว่าค่าเฉลี่ย 30ปีที่ 1,500มิลลิเมตร แต่ถือว่ายังต่ำกว่าปี 2554 ที่ 1,830 มิลลิเมตร
ลำดับถัดไปแนะให้ติดตามอัตราการระบายน้ำที่เขื่อนเจ้าพระยาเป็นตัววัดผลกระทบ ล่าสุดถูกปรับขึ้นจาก 2,800 ลบ.ม.ต่อวินาที เพิ่มเป็น 2,900 ลบ.ม.ต่อวินาที (ปี2554 ระบายน้ำสูงถึง 3,700ลบ.ม.ต่อวินาที) และหากอิงจากการให้สัมภาษณ์ ของคุณภราดร ปริศนานันทกุล รมต.ประจำสำนักนายกฯ ว่ากรมชลประทานจะระบายน้ำเข้าฝั่งตะวันออกและตะวันตกเพิ่มขึ้น เพื่อระบายเข้าทุ่งที่เป็นพื้นที่เกษตรกรรม ช่วยแบ่งเบาเขื่อนเจ้าพระยาไปสู่พื้นที่เกษตรกรรม ในขณะที่กรมอุตุนิยมวิทยาและสถาบันสารสนเทศทรัพยากรน้ำ (องค์การมหาชน) หรือ สสน. ประเมินฝนในพื้นที่ตอนบนจะลดลง ตั้งแต่วันที่ 13 พฤศจิกายนนี้ และไม่มีแนวโน้มได้รับอิทธิพลจากพายุเพิ่มเติม
ผลกระทบต่อเศรษฐกิจ : เบื้องต้นเราประเมินผลกระทบต่อข้าวนาปีราว 1.85 ล้านไร่และมีผลผลิตเสียหาย 4.8แสนตัน ซึ่งคิดเป็นมูลค่าความเสียหายประมาณ 5พันล้านบาท อย่างไรก็ตามยังต้องติดตามสถานการณ์เพิ่มในช่วงที่เหลือของปีนี้
โดยรัฐบาลให้เงินชดเชย ครัวเรือนละ 9,000บาท ปัจจุบันจ่ายให้ 60-70% (คาดว่าภายใน 24พ.ย.จ่ายครบ 100%) และในกรณีที่ได้รับผลกระทบทางน้ำมากกว่า 30-60วัน จะพิจารณาเยียวยาเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามหากอิงกับเม็ดเงินกระตุ้นการบริโภคในช่วงปลายปีทั้ง Co-Pay และบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ โดยรวมเรายังประเมิน GDP อาจจะมี Upside จากประมาณการเดิมของเราที่ 1.8% เป็น 1.9-2.0%
กลุ่มโรงพยาบาล มีมุมมองบวกอ่อนๆ โดยรายได้ รพ.เอกชนในไตรมาส 4/68 คาดได้อานิสงส์บวกจากจำนวนผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ที่เพิ่มขึ้น เทียบช่วงเดียวกนของปีก่อน ตามปริมาณฝนที่สูงขึ้น โดยข้อมูลเดือน ก.ย.แสดงให้เห็นว่าฝนเพิ่มขึ้น เทียบช่วงเดียวกนของปีก่อน สอดคล้องกับเคสไข้หวัดใหญ่เดือน ต.ค.ที่เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่า ขณะเดียวกันหลาย รพ.รายงานรายได้ครึ่งแรก ต.ค.โตระดับสองหลัก เทียบช่วงเดียวกนของปีก่อน เทียบกับแนวโน้มทรงตัวหรือลดลงใน ไตรมาส 3/68 ทั้งนี้ ปริมาณฝนเดือน ต.ค.ที่คาดว่ายังเพิ่ม เทียบช่วงเดียวกนของปีก่อน น่าจะหนุนให้เคสไข้หวัดใหญ่และรายได้ รพ.เดือน พ.ย.เติบโตต่อเนื่อง เทียบช่วงเดียวกนของปีก่อน
กลุ่มค้าปลีก มีมุมมองลบอ่อนๆ โดยปกติแล้วในกรณีที่เกิดอุทกภัยในวงกว้าง ร้านค้าปรับปรุงบ้าน , วัสดุก่อสร้างอาจเห็นความต้องการเพิ่มขึ้นชั่วคราวจากการซ่อมแซมและก่อสร้างใหม่ในพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ แต่ในครั้งนี้คาดผลบวกที่จำกัดเนื่องจากพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ทำการเกษตร และมีความเสียหายด้านทรัพย์สินไม่มากนัก เมื่อเทียบกับปีก่อนที่เกิดเหตุการณ์น้ำท่วมฉับพลันในภาคเหนือ และมีบางพื้นที่เกิดดินสไลด์ ซึ่งสร้างความเสียหายต่อทรัพย์สินมากกว่า
ในทางกลับกันอัตราการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (Same-Store Sales Growth: SSSG) มีความอ่อนไหวต่อปริมาณน้ำฝนอย่างชัดเจน โดยจะชะลอลงอย่างเห็นได้ชัดในช่วงเดือนที่มีฝนตกหนัก ซึ่งในรอบนี้เราประเมินจะกดดัน SSSG% ประมาณ 1-3% จากภาวะปกติ เป็นผลให้คาด SSSG ในไตรมาสนี้บริเวณ -4% +/-