พาราสาวะถี

สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง หลังจาก อนุทิน ชาญวีรกูล ประกาศยุติการเดินหน้าตามปฏิญญาสันติภาพ


สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ที่กลับมาตึงเครียดอีกครั้ง หลังจาก อนุทิน ชาญวีรกูล ประกาศยุติการเดินหน้าตามปฏิญญาสันติภาพ ซึ่งไปเซ็นไว้กับ ฮุน มาเนต ที่มาเลเซีย อันเนื่องมาจากการกระทำที่ชั่วช้าของฝ่ายเขมร แต่ดูเหมือนว่าวิธีสารเลวที่ได้ทำมาตลอดไม่ได้หยุดอยู่แค่ การลักลอบเข้ามาวางทุ่นระเบิดจนทหารไทยเหยียบขาขาดเป็นรายที่ 7 ล่าสุด ก็มี การเปิดฉากยิงเข้ามายังฝั่งไทยที่บ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว จนทหารไทยต้องยิงตอบโต้กลับไป

กลายเป็นว่าเข้าทาง เพราะ เขมรรอที่จะให้ได้ภาพ และหลักฐานเพื่อนำไปฟ้องชาวโลก หลังเหตุการณ์ฮุน มาเนต รีบแถลงประณามไทยทันที อ้างว่ามีการยิงใส่เป้าหมายพลเรือนเป็นเหตุให้ประชาชนตาย 1 บาดเจ็บอีก 3 ราย ตามมาด้วยการนำคณะผู้สังเกตการณ์อาเซียนหรือ AOT ฝั่งเขมรเดินทางไปเยี่ยมผู้ได้รับบาดเจ็บในวันต่อมา ขณะที่คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนกัมพูชา รีบยื่นหนังสือร้องต่อองค์การสหประชาชาติหรือยูเอ็น เรียกร้อง 7 ข้อโดยที่สำคัญคือ ให้ไทยเร่งปล่อยเชลยศึก 18 คน และหยุดใช้ความรุนแรง

โดยที่ทางฝั่งไทยยังไม่ได้แสดงให้เห็นถึงกระบวนการที่ได้ดำเนินการไปยังองค์กรระหว่างประเทศ นี่คืออีกจุดที่ทำให้คนไทยรู้สึกอึดอัด ท่าทีขึงขังของเสี่ยหนูต้องเดินไปพร้อมกับท่วงทำนองที่แข็งกร้าว และปรากฏเป็นภาพข่าวชัดเจนบนเวทีระหว่างประเทศ มิเช่นนั้น มันก็จะเกิดภาพว่าเมื่อถึงเวลาต้องไปสู้กันในระดับนานาชาติ ฝ่ายเขมรสามารถชิงความได้เปรียบโดยตลอด ทั้งที่ กรณีที่เกิดขึ้นทางกองทัพก็ยืนยันว่ามีหลักฐานว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นฝ่ายเปิดฉากก่อน ก็ต้องเอาออกมาแสดง หรือให้ทางกระทรวงการต่างประเทศได้สื่อสารให้คนทั่วโลกได้รับรู้

เพราะจนถึงขณะนี้ เรายังไม่ได้เห็นภาพว่า AOT ฝั่งไทยได้เข้าไปตรวจสอบจุดเกิดเหตุที่ทหารไทยเหยียบกับระเบิด รวมทั้งการไปเยี่ยมทหารที่ได้รับบาดเจ็บ และเหตุการณ์ล่าสุดที่ถูกเขมรเปิดฉากยิงก่อน เหล่านี้ต้องเร่งดำเนินการ เพื่อแสดงให้เห็นถึงความโปร่งใส เหมือนกับที่มีการระบุว่า ชาวเขมรที่บาดเจ็บอาจจะเกิดการยิงใส่คนของตัวเอง ซึ่งการทำเช่นนั้นต้องเรียกว่าคนสั่งการใจดำอำมหิตอย่างยิ่ง สิ่งเหล่านี้ต้องไม่ใช่แค่คำพูดผ่านการแถลงเท่านั้น ทุกอย่างต้องแสดงหลักฐานต่างๆ เป็นการประจานความชั่วร้ายของอีกฝั่ง

เหมือนกับกรณีที่จนถึงนาทีนี้อนุทินยังยืนยันถึง ความพร้อมรบของฝ่ายกองทัพ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่เห็นการเปิดปฏิบัติการเอาคืน จะอ้างว่าถ้าไปเปิดฉากก่อนแล้วไทยจะตกเป็นจำเลยของชาวโลกก็พอฟังได้ แต่ภายใต้สถานการณ์ที่อีกฝ่ายเป็นผู้เปิดเกม การตอบโต้ก็ต้องให้สาสมเป็นการกำราบ สั่งสอนเพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียซ้ำซากแล้วถึงจะจัดการให้เด็ดขาด ทั้งหมดเหล่านี้ เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราอยู่ในฐานะกุมความได้เปรียบ ไม่ใช่ปล่อยให้เขมรเล่นเกมยั่วยุ ปั่นประสาทอย่างที่เป็นอยู่

หันไปดูสถานการณ์ทางการเมือง ในจังหวะที่เรื่องความมั่นคงของประเทศเป็นกระแส เห็นแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่ทางคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขของรัฐสภา ยอมหั่นทิ้งสภาร่างรัฐธรรมนูญหรือ ส.ส.ร. แล้วให้มีแค่คณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ เพียงองค์กรเดียว ตรงนี้พอเข้าใจได้ เนื่องจากเกรงว่าหากมี ส.ส.ร.ที่ผ่านการเลือกของประชาชน อาจจะสุ่มเสี่ยงที่จะเป็นการดำเนินการซึ่งชัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญได้

อย่างไรก็ตาม กระบวนการพิจารณาและแนวทางที่ทำกันอยู่นั้น ทำให้มีการมองไปว่า การพบกันครึ่งทางในลักษณะต่างฝ่ายต่างยอมถอยต่อประเด็นที่เป็นปัญหาระหว่างพรรคภูมิใจไทยกับพรรคประชาชน มันชวนให้นึกไปถึง ภาพของการตั้งรัฐบาลหลังการเลือกตั้งครั้งหน้า ยิ่งล่าสุดเสี่ยหนูพูดเปิดทางยินดีที่จะให้มีการประชุมสภาสมัยวิสามัญเพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้การลงมติในวาระ 2 และ 3 เสร็จสิ้นภายในสิ้นปี เป็นไปตามเงื่อนไขข้อตกลงหรือเอ็มโอเอ ที่พรรคสีน้ำเงินได้ทําไว้กับพรรคส้ม มันเป็นอะไรที่น่าติดตามเป็นอย่างยิ่ง

ไม่เพียงเท่านั้น เสี่ยหนูยังยอมรับว่ามีการพูดคุยกับ สนธยา คุณปลื้ม บ้านใหญ่แห่งชลบุรี รวมทั้ง ปิยะ ปิตุเตชะ นายก อบจ.ระยอง นี่คือสัญญาณกินรวบบ้านใหญ่ของภาคตะวันออก ขณะเดียวกัน ยังมีภาพร่วมเฟรมกันระหว่าง สิริพงศ์ อังคสกุลเกียรติ โฆษกรัฐบาล กับ วราวุธ ศิลปอาชา และ นิกร จำนง หัวหน้าและผู้อำนวยการพรรคชาติไทยพัฒนา เหล่านี้น่าจะอธิบายภาพการเมืองหลังการเลือกตั้งครั้งใหม่ได้เป็นอย่างดี มีแนวโน้มว่า เพื่อไทยอาจจะถูกผลักให้ไปเป็นพรรคฝ่ายค้าน

คำถามสำคัญคือ พรรคน้ำเงินกับพรรคส้มสามารถผสมพันธุ์กันได้หรือ เรื่องชั้นเชิงทางการเมืองประเภทเข้าได้กับทุกพรรคสำหรับเสี่ยหนูและพวกพ้องไม่ใช่ปัญหา ขณะที่พรรคส้มหากพิจารณาท่าทีของผู้นำทางจิตวิญญาณ รวมไปถึงท่วงทำนองต่อการขับเคลื่อนประเด็นที่เป็นความสุดโต่งทั้งหลาย ระยะหลังก่อนที่จะรับบทฝ่ายค้ำ จนกระทั่งมาถึงวันนี้จะพบว่ามีความเปลี่ยนแปลงไป นั่นจึงอาจเป็นการส่งซิกว่า ยอมกันถึงขนาดนี้แล้ว ประตูแห่งอำนาจบริหารควรเปิดให้คนของพรรคสีส้มได้เข้าไปมีบทบาทได้แล้ว

ทั้งนี้ การร่วมงานกันในฐานะรัฐบาลจะตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่ว่า ภูมิใจไทยต้องได้เก้าอี้ สส. มากกว่าพรรคประชาชน เพราะหากพรรคสีส้มได้คะแนนเสียงมากกว่าคงจะไม่รับบทผู้เสียสละอีกแล้ว หากเป็นเช่นนั้นความเป็นไปได้ที่จะจับมือกันก็จะน้อยลงไป ด้วยเหตุไม่มีใครกล้าการันตีได้ว่า จะมีการกลับลำเพื่อดำเนินการเรื่องสุดโต่งต่าง ๆ ที่เคยได้ประกาศไว้หรือไม่ เว้นเสียแต่ว่าทุกอย่างไม่เหมือนเดิม จากที่เคยเป็นเด็กห้าว ก้าวร้าว วันนี้ได้ปรับตัวเป็นเด็กดีอยู่ในโอวาททุกประการ นั่นก็อีกเรื่อง

อรชุน

Back to top button