
PTTGC เดินหน้าลดต้นทุน–เพิ่มรายได้ 6.50 ล้านบาทต่อปี หนุนศักยภาพแข่งขันปี 69
PTTGC เดินหน้ากลยุทธ์เพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายกว่า 6,500 ล้านบาทต่อปีในปี 2569 พร้อมเสริมศักยภาพ allnex ผ่านการขยายกำลังผลิตและโครงการลดต้นทุนเชิงโครงสร้าง ควบคู่การนำเทคโนโลยีดิจิทัลและนวัตกรรมยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงาน หนุนทิศทางฟื้นตัวและเติบโตยั่งยืนในระยะยาว
นายณะรงค์ศักดิ์ จิวากานันต์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) หรือ PTTGC กล่าวว่า แม้สถานการณ์อุตสาหกรรมปิโตรเคมีและเศรษฐกิจโลกยังเผชิญความท้าทายหลายด้าน ทั้งกำลังการผลิตส่วนเกินจากตลาดที่มีต้นทุนต่ำ สงครามการค้า และปัจจัยด้านภูมิรัฐศาสตร์ ซึ่งล้วนเป็นปัจจัยภายนอกที่ควบคุมไม่ได้และส่งผลกระทบต่อความสามารถในการทำกำไร แต่ PTTGC ยังคงดำเนินกลยุทธ์ตามแผนที่วางไว้ได้อย่างต่อเนื่อง
โดยมุ่งเน้นการบริหารจัดการปัจจัยที่ควบคุมได้ เพื่อพลิกสถานการณ์และสร้างความพร้อมสำหรับการเติบโตในระยะถัดไป ทั้งการดำเนินงานตามเป้าหมาย กลยุทธ์ Portfolio Transformation และการบริหารสินทรัพย์ให้เกิดประโยชน์สูงสุด การเพิ่มรายได้ ลดค่าใช้จ่าย การเพิ่มประสิทธิภาพแบบองค์รวมด้วยแนวทาง Holistic Optimization รวมทั้งเดินหน้าตามแผนลดภาระทางการเงิน (Deleveraging Program) และการบริหารสภาพคล่อง” โดยมีความคืบหน้าที่สำคัญหลายด้าน ได้แก่
เพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายรวมกว่า 5,500 ล้านบาทต่อปี ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 มีความคืบหน้าไปแล้วกว่า 4,000 บาทต่อปี คาดว่าจะสามารถทำได้เกินกว่าเป้าหมาย
ขับเคลื่อนแนวทาง Holistic Optimization เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการดำเนินงานแบบองค์รวม และเสริมขีดความสามารถในการแข่งขัน อาทิ โครงการนำเข้าอีเทนจากสหรัฐฯ มาใช้เป็นวัตถุดิบทดแทน และโครงการใช้พลังงานความเย็นจากก๊าซธรรมชาติเหลวในกระบวนการผลิตโอเลฟินส์
การดำเนินการตามแผน Deleveraging และการบริหารสภาพคล่อง ด้วยการ ขยายวงเงิน Trade Credit Facility สำหรับการจัดหาวัตถุดิบกับ ปตท. เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและความยืดหยุ่นทางการเงิน และ ออกหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ สกุลเหรียญสหรัฐฯ มูลค่ารวม 1,100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในเดือนกันยายน 2568 ซึ่งเป็นมูลค่าสูงที่สุดในเอเชียใต้และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มียอดจองซื้อสูงกว่า 8 เท่าของมูลค่าที่เสนอขาย การดำเนินการดังกล่าวส่งผลให้ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ย ลดลงประมาณ 75,000 ล้านบาท และ อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (Net Debt/Equity) ลดลงจาก 0.84 เท่า เมื่อสิ้นปี 2567 มาอยู่ที่ระดับประมาณ 0.50 เท่า ในไตรมาส 3 ปี 2568 ขณะที่ บริษัทฯ ยังมีวงเงินทุนหมุนเวียน (Committed facility) จากปตท. และ สถาบันการเงินรวมกว่า 70,000 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง
เตรียมเสนอขายหุ้นกู้ด้อยสิทธิฯ สกุลเงินบาท สำหรับผู้ลงทุนทั่วไป ระหว่างวันที่ 27–28 พฤศจิกายน และ 1–3 ธันวาคม 2568
ดำเนินการ Asset Monetization เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการบริหารสินทรัพย์ โดยมี 2 ธุรกรรมสำคัญ ซึ่งจะนำเสนอเพื่อพิจารณาอนุมัติในที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นครั้งที่ 1/2568 ในวันที่ 18 พฤศจิกายน 2568 ได้แก่
การขายหุ้นบางส่วนใน บริษัท ไทยแท้งค์เทอร์มินัล จำกัด (TTT) ให้บริการท่าเทียบเรือและคลังเก็บวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในนิคมอุตสาหกรรมมาบตาพุด ให้แก่ บริษัท พีทีที แทงค์ เทอร์มินัล จำกัด (PTT Tank) คิดเป็นสัดส่วน 35.43% ภายหลังธุรกรรม PTTGC จะยังคงถือหุ้นอยู่ 1%
การขายทรัพย์สินโครงสร้างพื้นฐานบางส่วนที่เกี่ยวกับท่าเทียบเรือและคลังเก็บผลิตภัณฑ์ใน Buffer Tank Farm ให้แก่บริษัทย่อยของ PTT Tank โดย PTTGC จะเช่าทรัพย์สินกลับบางส่วน (Leaseback) และใช้บริการท่าเทียบเรือและพื้นที่ส่วนกลางต่อเนื่อง รวมทั้งยังคงเป็นผู้ดำเนินการและบำรุงรักษา (O&M) เพื่อให้การดำเนินงานเป็นไปอย่างต่อเนื่องและมีเสถียรภาพ
สำหรับปี 2569 บริษัทฯ จะยังคงดำเนินมาตรการเพิ่มรายได้และลดค่าใช้จ่ายรวมกว่า 5,500 ล้านบาทต่อปี ซึ่งจะรับรู้ผลประโยชน์อย่างต่อเนื่อง (recurring) พร้อมทั้งสร้างผลประโยชน์เพิ่มเติมอีกกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปี จากความคืบหน้าที่ทำได้ในปี 2568 นอกจากนี้ GC ยังเดินหน้าขับเคลื่อนตามแนวทาง Holistic Optimization เพื่อยกระดับประสิทธิภาพการดำเนินงานแบบองค์รวมและเสริมขีดความสามารถในการแข่งขันอย่างต่อเนื่อง โดยคาดว่าจะสามารถสร้างผลประโยชน์เพิ่มเติมได้อีก 1,200 ล้านบาทต่อปี ในปี 2569
นอกจากนี้ ยังคงเดินหน้าดึงศักยภาพของ allnex ซึ่งเป็นผู้นำระดับโลกด้าน Coating Resins ผ่านการดำเนินการเพิ่มประสิทธิภาพและลดค่าใช้จ่าย ท่ามกลางภาวะอุตสาหกรรมที่ชะลอตัว โดยมีการดำเนินงานสำคัญ ได้แก่
การขยายกำลังการผลิตในตลาดศักยภาพสูง อาทิ ประเทศจีน อินเดีย และไทย เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันและรองรับการเติบโตในเอเชีย โดยเล็งเห็นว่าประเทศไทยสามารถพัฒนาเป็นศูนย์กลางสำคัญของเคมีภัณฑ์ชนิดพิเศษในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้
Project Helix โครงการลดต้นทุนเชิงโครงสร้าง โดยตั้งเป้าลดค่าใช้จ่ายได้ 40 ล้านยูโรต่อปี ภายในปี 2569–2570 ซึ่งจะเป็นส่วนสำคัญต่อเป้าหมายเพิ่ม EBITDA ให้ได้อีกอย่างน้อย 25 ล้านยูโรต่อปี ภายในปี 2573
Commercial Excellence และ Supply Chain Optimization ปรับกระบวนการเชิงพาณิชย์และห่วงโซ่อุปทานให้มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
Growth Platform หน่วยธุรกิจที่ใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีที่มีอยู่เดิมเพื่อขยายไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง พร้อมพัฒนาแพลตฟอร์มใหม่ อาทิ สารเติมแต่ง (additives) วัสดุคอมโพสิต และแบตเตอรี่ รวมถึงพัฒนานวัตกรรมเพื่อรองรับความต้องการใหม่ของตลาด
PTTGC ยังได้นำเทคโนโลยีดิจิทัลมาใช้ในองค์กร ผ่านแนวคิด 3 Smart: Smart Plant, Smart Sales & Marketing, Smart Work Process เช่น การใช้เทคโนโลยี AI Vision และ Drone Inspection ตรวจสอบสภาพ Roof Tank ร่วมกับข้อมูลดาวเทียม โดยไม่ต้องหยุดการดำเนินงาน การตรวจสอบสภาพ Heat Exchanger หลังการทำความสะอาด ช่วยลดเวลาและเพิ่มความแม่นยำในการประเมินสภาพอุปกรณ์ การใช้ Drone ตรวจสอบท่อภายใน (Internal Pipe) แทนการปีนขึ้นตรวจในพื้นที่เสี่ยง ช่วยเพิ่มความปลอดภัยของพนักงาน ซึ่งเฉพาะที่ยกตัวอย่างสร้างประโยชน์ทางธุรกิจได้มากกว่า 20 ล้านบาทต่อปี
ขณะเดียวกัน บริษัทได้ให้ความสำคัญกับการนำนวัตกรรมมาเป็นพลังขับเคลื่อนองค์กร ทั้งด้านการพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อตอบโจทย์ลูกค้า และการยกระดับกระบวนการทำงานให้มีประสิทธิภาพและยั่งยืนยิ่งขึ้น ควบคู่กับการสร้าง Innovation Culture ที่เปิดโอกาสให้พนักงานทุกระดับมีส่วนร่วมเสนอแนวคิดใหม่ ๆ ผ่านแพลตฟอร์ม GC StandOut ซึ่งได้ก่อให้เกิดผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม โดยในปี 2568 ทาง PTTGC ได้รับ 3 รางวัลนวัตกรรมแห่งชาติ จากสำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) ตอกย้ำบทบาทขององค์กรที่ขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมเพื่ออนาคตที่ยั่งยืน ทั้งในระดับองค์กร ผลิตภัณฑ์ และเศรษฐกิจ
“PTTGC ยังคงดำเนินกลยุทธ์อย่างต่อเนื่องเพื่อเสริมศักยภาพของธุรกิจให้พร้อมรับความเปลี่ยนแปลงของอุตสาหกรรมและเศรษฐกิจโลก แม้ปัจจุบันจะยังอยู่ในช่วงของการพลิกฟื้นธุรกิจ แต่บริษัทฯ เชื่อมั่นว่าด้วยการดำเนินงานตามกลยุทธ์ที่วางไว้ การบริหารจัดการการเงินอย่างมีวินัย และการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม จะช่วยให้ PTTGC ก้าวผ่านช่วงท้าทายนี้ และต่อยอดสู่การเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในระยะยาว” นายณะรงค์ศักดิ์ กล่าวปิดท้าย

