KSS–KS เชียร์ชื้อ GULF เขื่อนลาวปิดดีลเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ–LNG โตแรง เคาะเป้า 61 บ.

“บล.กรุงศรี-กสิกรไทย” ประสานเสียงมองบวก GULF จากความชัดเจนโครงการเขื่อน Pak Beng–Pak Lay ปิดดีลเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำ ดัน IRR แตะสองหลัก ขณะรายได้ LNG ปีหน้าพุ่งแตะ 1.5 พันล้านบาท พ่วงโครงการพลังงานทดแทนทยอย COD ต่อเนื่อง หนุนกำไรระยะ 1–2 ปีแข็งแกร่ง คงคำแนะนำ “ซื้อ” เป้า 59–61 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(19 พ.ย.68) บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS และบริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KS ได้ให้มุมมองบริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF หลังการประชุมนักวิเคราะห์ล่าสุด โดยภาพรวมให้สัญญาณเชิงบวก ทั้งความคืบหน้าโครงการผลิตไฟฟ้าในลาว ต้นทุนเงินกู้ที่ลดลง และรายได้ LNG ที่เตรียมพุ่งแรงในปีหน้า หนุนโมเมนตัมกำไร 1–2 ปีข้างหน้าเดินหน้าแข็งแกร่ง และคงคำแนะนำ “ซื้อ” เป้า 59–61 บาท โดยระบุไว้ในบทวิเคราห์ดังนี้

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) หรือ KSS ประเมินผลประชุมนักวิเคราะห์ว่า GULF  ให้ภาพรวมเชิงบวกเล็กน้อย โดยนักวิเคราะห์ระบุว่า โครงการเขื่อน Pak Beng และ Pak Lay ใน สปป.ลาว ได้ทำ Financial Closing กับสถาบันการเงินแล้วภายใต้ต้นทุนดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าคาด ส่งผลให้อัตราผลตอบแทนโครงการ (IRR) ปรับขึ้นสู่ระดับ Double Digit ช่วยเพิ่มความมั่นใจในกำไรระยะยาวของบริษัท

ด้านธุรกิจ LNG บริษัทคาดว่าปี 2569 จะมีปริมาณนำเข้าเพิ่มขึ้นเป็น 70 ลำ จากราว 50 ลำ ในปี 2568 คิดเป็นรายได้ราว 1,500 ล้านบาท เพิ่มจากประมาณการปี 2568 ที่ราว 1,000 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นตัวขับเคลื่อนรายได้หลักในปีหน้า

ขณะเดียวกัน โครงการพลังงานทดแทนเฟส 2.1 ขนาด 1,480 MW ภายใต้ค่าไฟฟ้าใหม่ 2.16 บาท/หน่วย (ลดลง 1 สตางค์) ไม่ส่งผลลบอย่างมีนัยสำคัญ และคาดว่าสามารถเซ็นสัญญา PPA ได้ในช่วงปลายปี 2568 แม้ GULF ไม่ได้ถูกคัดเลือกตรงในรอบนี้ แต่บริษัทพร้อมเข้าร่วมลงทุนในโครงการของผู้ที่ได้ใบอนุญาตแล้ว ((GUNKUL มีลม 284 MW และโซล่าร์ 35 MW) คงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยให้ราคาเป้าหมายปี 26F ที่ 59 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KS ประเมินผลประชุมนักวิเคราะห์ว่า GULF อัพเดทโปรเจค ส่วนใหญ่เป็นไปตามแผน โดยคาดว่าโครงการเขื่อนปักเบ็ง ปักลาย จะ financial closing กับทางสถาบันการเงินในช่วงปลายปีนี้ ต้นปีหน้า ถือเป็นการคอนเฟิร์มถึงความแน่นอนของโปรเจคที่จะเกิดขึ้น และคาดว่าจะได้ต้นทุนทางการเงินตํ่ากว่าที่มองไว้ง

ในช่วง 1-2 ปีนี้ มองกําไรจะเติบโตจากการ COD ของโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทนในประเทศ solar farm, wind farm, โรงไฟฟ้าขยะ, LNG shipment และโรงไฟฟ้าในอเมริกาที่ได้รับการปรับค่าไฟขึ้น

กลยุทธ์ในอนาคต มองโอกาสในการเข้าไปลงทุน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยในประเทศจะเน้นการร่วมมือเข้าไปลงทุนโครงการพลังงานทดแทนเพิ่มเติม จากบริษัทที่ได้ใบอนุญาตแล้ว โดย GULF มี resource ที่ดีกว่า และสามารถเข้าถึงอุปกรณ์และการลงทุนในราคาที่ต่ำกว่าได้ ช่วยเพิ่มผลตอบแทนของโครงการ ส่วนในต่างประเทศจะมองไปในตลาดที่พัฒนาแล้ว เช่นยุโรป อเมริกา

คาดว่าโรงไฟฟ้าบูรพา น่าจะมีการเลื่อน COD ไปประมาณ 2-3 ปี จากเดิมที่ตั้งไว้ที่ปี 2570 แต่ทั้งนี้ต้องรอแก้ไขสัญญาก่อน อันนี้มองเป็นปัจจัยลบ

ส่วน PDP2025 มองว่าภาพในช่วง 5 ปีข้างหน้าไม่น่ามีอะไรเปลี่ยน เนื่องจากส่วนใหญ่ต้องวางแผนไว้หมดแล้ว แต่ภาพระยะยาว มองว่าอาจมี replacement สําหรับโรงไฟฟ้า base-load ในบางพื้นที่ เพื่อสร้างศักยภาพเครือข่ายไฟฟ้า

ทั้งนี้อาจมีการพิจารณาจ่ายปันผลระหว่างกาลจากเดิมที่จ่ายปีละครั้ง คงคำแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 61 บาท

Back to top button