
ส่อง BTS ในวันที่กำไรดีเกินคาด
BTS ปัจจัยลบเริ่มกลับมาเป็นบวก โดยกำไรไตรมาส 2 ปี 2568 สูงกว่าคาดการณ์ของตลาด และมีแนวโน้มว่าผลการดำเนินงานจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่อง
เส้นทางนักลงทุน
บริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ BTS ปัจจัยลบเริ่มกลับมาเป็นบวก โดยกำไรไตรมาส 2 ปี 2568 สูงกว่าคาดการณ์ของตลาด และมีแนวโน้มว่าผลการดำเนินงานจะปรับตัวดีขึ้นต่อเนื่องในไตรมาสถัด ๆ ไป
ล่าสุดในงวดไตรมาสดังกล่าวนี้ BTS มีกำไรสุทธิอยู่ที่ 102 ล้านบาท เมื่อเทียบกับผลขาดทุนจำนวน 355 ล้านบาทในช่วงเดียวกันของปีก่อน มีรายได้รวม 7,666 ล้านบาท โต 40.8% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลดีจากการรวมรายได้ของบริษัท แรบบิท โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) หรือ RABBIT และบริษัท ร็อคเทค โกลบอล จำกัด (มหาชน) หรือ ROCTEC จำนวนรวม 2,191 ล้านบาทในไตรมาส 2 ปี 2568/69 หลังจากการเข้าซื้อหลักทรัพย์โดยสมัครใจ ตั้งแต่วันที่ 4 พฤศจิกายน 2567
นอกจากนี้รายได้อื่น ๆ ยังเพิ่มขึ้นจากการบันทึกกำไรจากตราสารทางการเงินจำนวน 684 ล้านบาท และการลดลงของรายได้ดอกเบี้ยเพราะไม่มีการรับรู้รายได้ดอกเบี้ยโครงการรถไฟฟ้าที่เกี่ยวข้องกับงานค่าจ้างเดินรถและซ่อมบำรุง (O&M) หลังจากที่ได้รับชำระหนี้จากกรุงเทพมหานคร (กทม.) แล้ว เมื่อวันที่ 27 ธันวาคม 2567
BTS ยังมีรายได้จากการดำเนินงานของธุรกิจหลัก ๆ ประกอบด้วย ธุรกิจการคมนาคมและขนส่ง (MOVE), ธุรกิจ ผู้ให้บริการทางการตลาดในรูปแบบ O2O โซลูชันที่ครบวงจร รวมถึงการใช้ประโยชน์สูงสุดจากฐานข้อมูล (MIX), และธุรกิจที่มุ่งสร้างโอกาสทางธุรกิจผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรใหม่ ๆ ที่มีศักยภาพ (MATCH) โดยรายได้จากการดำเนินงานที่เพิ่มขึ้นหลัก ๆ มาจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นของธุรกิจ MATCH แต่หักล้างไปบางส่วนกับรายได้จากการก่อสร้างที่หายไปของธุรกิจ MOVE หลังจากที่งานก่อสร้างส่วนต่อขยายสายสีชมพูเสร็จไปแล้ว และรายได้จากธุรกิจ MIX ลดลง
ด้านการลงทุนนั้น BTS รับรู้ส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนใน BTS Rail Mass Transit Growth Infrastructure Fund (BTSGIF) 79 ล้านบาท ลดลง 28.7% จากงวดปีก่อน เพราะมีการตัดค่าใช้จ่าย amortisation ของการลงทุนของกองทุนกทม. ชำระหนี้คงค้างให้ BTS
กทม. ชำระคืนหนี้ และดอกเบี้ยคงค้างเต็มจำนวนในส่วนที่เกี่ยวข้องกับงาน O&M ให้กับ BTSC รวม 3.64 หมื่นล้านบาท ครอบคลุมช่วงเวลาจากเดือนมิถุนายน 2564 ถึงสิงหาคม 2568 ซึ่งการได้รับชำระหนี้ที่รอมานานก้อนนี้ทำให้สภาพคล่อง และสถานะเงินทุนหมุนเวียนของกลุ่ม BTS แข็งแกร่งมากขึ้น ทำให้มีความคล่องตัวทางการเงินในการแสวงหาโอกาสทางธุรกิจใหม่ ๆ และจะช่วยสนับสนุนความริเริ่มในการสร้างการเติบโตในระยะยาว
ก่อนหน้านี้ ผู้บริหารกลุ่มบีทีเอสเคยให้ข้อมูลว่าบริษัทได้รับชำระหนี้ค่าบริการ O&M ของส่วนต่อขยายสายสีเขียวจาก กทม. ครบถ้วนแล้วในวันที่ 30 ตุลาคม 2568 ยอดรวมที่ กทม.ชำระมีมูลค่า 3.644 หมื่นล้านบาท ซึ่งรวมเงินต้น 3.148 หมื่นล้านบาท และดอกเบี้ย 4.96 พันล้านบาท
เงินสดที่ได้รับจาก กทม.ประมาณ 1.5 หมื่นล้านบาทจะถูกนำไปชำระหนี้ ในขณะที่ส่วนที่เหลือ 2 หมื่นล้านบาทจะสำรองไว้เพื่อชำระหุ้นกู้ที่จะครบกำหนดไถ่ถอน และเพื่อการลงทุนเพิ่มเติม
หลังจากการชำระหนี้สินค้างจ่ายในอดีตทั้งหมดสำหรับบริการ O&M แล้ว BTS เชื่อว่า กทม.จะเริ่มจ่ายค่าบริการ O&M ในปัจจุบันให้แก่ BTS โดยมียอดชำระต่อปีที่ 7.2-8 พันล้านบาท นับจากนี้ไปจนสิ้นสุดสัญญาในปี 2585 นอกจากนี้ BTS ยังพร้อมรับข้อเสนอที่รัฐบาลมีแนวคิดการซื้อสัมปทานคืน
ทั้งนี้ BTS ดำเนินการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชน 3 สายหลักภายใต้สัมปทาน ได้แก่ สายสีเขียวหลัก สายสีชมพู และสายสีเหลือง ซึ่งยังไม่ได้คำนวณราคาขายเพราะจะต้องรอหารือกับรัฐบาลก่อน อย่างไรก็ตาม สำหรับสายสีเขียวหลักมีต้นทุนอยู่ที่ประมาณ 5 หมื่นล้านบาท
มีประเด็นที่น่าสนใจก็คือ จำนวนผู้โดยสารเฉลี่ยต่อวันของ BTS ในเดือนกรกฏาคม-กันยายน 2568 อยู่ที่ 5.53 แสนเที่ยว ลดลง 3% ลดลงจากงวดปีก่อน เพราะกิจกรรมทางเศรษฐกิจลดลง และจำนวนนักท่องเที่ยงต่างชาติลดลง แต่ตัวเลขนี้เพิ่มขึ้น 8% เมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน เนื่องจากวันหยุดราชการน้อยลงและเปิดภาคเรียนใหม่ เมื่อพิจารณาค่าโดยสารเฉลี่ยจะอยู่ที่ 33.40 บาท/เที่ยว เพิ่มขึ้น 1% ลดลงจากงวดปีก่อนและทรงตัวจากไตรมาสก่อน
อย่างไรก็ตาม ในระยะถัดไปผลประกอบการของ BTS ยังถูกมองว่ายังดูดี โดยผลการดำเนินงานหลักในไตรมาส 3 ปี 2568 คือในช่วงเดือนตุลาคม-ธันวาคม อาจจะปรับตัวลดลงจากงวดปีก่อนเนื่องจากรายได้เงินปันผลและรายได้ดอกเบี้ยลดลง แต่ผลการดำเนินงานหลักน่าจะปรับตัวดีขึ้นเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน
มุมมองนี้สนับสนุนจากความเห็นของบริษัทหลักทรัพย์ บัวหลวง ที่ว่าไตรมาส 3 ปีนี้ แนวโน้มผลการดำเนินงานของทุกธุรกิจหลักจะปรับตัวดีขึ้นจากไตรมาสก่อน หนุนโดยรายได้จากธุรกิจ MOVE และ MATCH ที่เพิ่มขึ้น และส่วนแบ่งกำไรจากการลงทุนในกิจการร่วมค้าและบริษัทร่วมที่เพิ่มขึ้น ทำให้ประมาณการกำไรสุทธิปี 2568 ที่ 479 ล้านบาท
แต่ในอีกด้าน บริษัทหลักทรัพย์ เคจีไอ (ประเทศไทย) ระบุว่า ยังไม่ได้มองบวกกับแนวโน้มระยะยาวของ BTS หลังจากที่มีการปรับเปลี่ยนนโยบายของรัฐบาลเกี่ยวกับค่าโดยสาร 20 บาทตลอดสาย ดังนั้นจึงอยู่ระหว่างทบทวนคำแนะนำและราคาเป้าหมาย
สำหรับหุ้น BTS แล้ว โบรกเกอร์ส่วนใหญ่แนะนำเพียง “ถือ” ให้ราคาเป้าหมายสูงสุด 6 บาท ต่ำสุด 3.69 บาท มีราคาเฉลี่ยที่ 4.68 บาท ทั้งนี้ไม่มีโบรกเกอร์รายไหนแนะนำให้ “ซื้อ” เลย
