
วิกฤติ NPL พุ่ง-บ้านถูกยึดเพิ่ม..!!
ตอกย้ำ “วิบากกรรมเศรษฐกิจไทย” เมื่อล่าสุดสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) มีการเปิดเผยตัวเลขหนี้สินครัวเรือนไตรมาส 2/2568
ตอกย้ำ “วิบากกรรมเศรษฐกิจไทย” เมื่อล่าสุดสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สภาพัฒน์) มีการเปิดเผยตัวเลขหนี้สินครัวเรือนไตรมาส 2/2568 พบว่าหนี้สินครัวเรือนมีมูลค่า 16.31 ล้านล้านบาท ลดลง 0.3% จากความระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อใหม่ เนื่องจากครัวเรือนมีคุณภาพสินเชื่อแย่ลง ส่งผลให้สัดส่วนหนี้สินครัวเรือนต่อ GDP ปรับลดลงมาอยู่ที่ 86.8% จาก 87.1% ของไตรมาสหนึ่งถือเป็นการลดลงต่อเนื่องเป็นไตรมาสที่ 6
“ตัวเลขล่าสุดอยู่ที่ 86% ของ GDP ต่ำสุดรอบ 6 ไตรมาส แต่ถือว่าน้อยกว่าช่วงโควิด-19 ที่เคยพุ่งถึง 94-95% โดยมาตรการล่าสุดของรัฐบาล อาจช่วยลดความเสี่ยงได้ แต่ปัญหาที่พบคือ ประชาชนจำนวนมาก มาไม่ทัน มาร่วมไม่ครบ ทำให้ไม่บรรลุเป้าหมาย”
แต่ว่า “สินเชื่อส่วนบุคคล” ที่ค้างชำระเกิน 90 วันขึ้นไป (NPLs) จากข้อมูลเครดิตบูโร มีมูลค่าสูงถึง 1.24 ล้านล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน NPLs ต่อสินเชื่อรวม 9.11% เพิ่มขึ้นจาก 8.78% เมื่อไตรมาส 1/2568 ที่น่าอันตรายคือ เป็นการปรับเพิ่มขึ้นทุกประเภทสินเชื่อ..!!
อย่างไรก็ดีสัดส่วนสินเชื่อที่ค้างชำระระหว่าง 1-3 เดือน (SMLs) ต่อสินเชื่อรวมปรับลดลงจากมาตรการการปรับ ปรุงโครงสร้างหนี้อย่างต่อเนื่อง ทำให้ระยะถัดไปหนี้เสียอาจมีแนวโน้มลดลง
ส่วนการปล่อยสินเชื่อผ่านแอปพลิเคชันหรือการซื้อก่อนจ่ายทีหลัง (Buy NoW Pay Later-BNPL) ไตรมาส 3/2568 ลดลง 0.3% และมีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง
ขณะที่ความสามารถในการชำระหนี้ครัวเรือนต้องเฝ้าระวัง และมีประเด็นต้องให้ความสำคัญ คือ การเร่งให้ความช่วยเหลือลูกหนี้อสังหาริมทรัพย์ ก่อนเข้าสู่กระบวนการบังคับคดี
ปัจจุบันพบแนวโน้มที่อยู่อาศัยถูกยึดและขายทอดตลาดเพิ่มขึ้น 210% เทียบช่วงเดียวกันปีก่อน เป็นยอดยึดทรัพย์บ้านและคอนโดมิเนียมราคาต่ำกว่า 1 ล้านบาท
จากสาเหตุอัตราดอกเบี้ยสูง ทำให้ลูกหนี้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ต้องเร่งให้มีการไกล่เกลี่ยหนี้ ทั้งก่อนหรือหลังการบังคับคดีเพื่อลดผลกระทบต่อการสูญเสียที่อยู่อาศัย
ทำให้สภาพัฒน์ สรุป 3 ประเด็นที่ต้องให้ความสำคัญคือ..
1)การเร่งให้ความช่วยเหลือลูกหนี้บ้าน ก่อนเข้าสู่กระบวนการบังคับคดี ปัจจุบันพบว่าแนวโน้มที่อยู่อาศัย ที่ถูกยึดและขายทอดตลาดเพิ่มขึ้น ต้องเร่งรัดให้มีการไกล่เกลี่ยหนี้ทั้งก่อนหรือหลังการบังคับคดี เพื่อลดผลกระทบต่อการสูญเสียที่อยู่อาศัย
2)ส่งเสริมการเข้าถึงมาตรการสินเชื่อครัวเรือน ที่ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วม ควบคู่การให้ประชาชนรับรู้เพื่อให้ได้รับความช่วยเหลือทันเวลาและลดการพึ่งพาหนี้นอกระบบ
3)การประชาสัมพันธ์และติดตามโครงการ “ปิดหนี้ไว ไปต่อได้” รวมทั้งหาแนวทางขยายให้ครอบคลุมลูกหนี้ Non-bank เพื่อให้เข้าถึงการแก้ปัญหาได้อย่างทั่วถึง..
อย่างไรก็ดีเศรษฐกิจไทย ถูกซ้ำเติมผลกระทบจากอุทกภัย ถือเป็นเรื่องรัฐบาลต้องให้ความสำคัญ แม้การประเมินความเสียหายบอกตัวเลขที่แน่ชัดไม่ได้
แต่สภาพัฒน์ มีกรอบในการประเมินผลกระทบ กรณีเกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจน้อยจะกระทบ 0.1% ต่อ GDP หรือประมาณ 18,000 ล้านบาท กรณีกระทบเศรษฐกิจระดับกลาง จะกระทบ 0.13% ต่อ GDP หรือประมาณ 23,000 ล้านบาท และกรณีกระทบต่อเศรษฐกิจมากจะกระทบประมาณ 0.16% ต่อ GDP หรือประมาณ 29,000 ล้านบาท
อย่างไรก็ดีต้องขึ้นอยู่กับการบริหารจัดการ รวมถึงมาตรการเยียวยาเพื่อรองรับผลกระทบด้วย..!?