
GULF-ITEL-BGRIM-INSET วิ่ง! จ่อรับ “กูเกิล” จับมือ AIS รุก TalayLink เดินหน้าเคเบิลใต้น้ำ
GULF -ITEL-BGRIM-INSET บวก! หลังโบรกบล.กรุงศรี ระบุว่ากลุ่มศูนย์ข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ จ่อรับเงินทุนใหม่ หลังกูเกิล จับมือ AIS รุก TalayLink เดินหน้าเคเบิลใต้น้ำ
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (26 พ.ย. 68) จากกรณี Google Cloud ประกาศเปิดตัวโครงการ TalayLink สายเคเบิลใต้น้ำเส้นใหม่เชื่อมระหว่างประเทศไทยและออสเตรเลีย ผ่านเส้นทาง Indian Ocean Route ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการรับส่งข้อมูลดิจิทัล (Digital Transit Hub) ของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
โดยการลงทุนครั้งนี้ไม่ได้เพียงเพิ่มความจุ (bandwidth) ของโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศ แต่ยกระดับความเสถียรและความเร็วของการเชื่อมต่อ ลด latency และเพิ่ม redundancy ลดความเสี่ยงจากการขาดสายเคเบิล ส่งผลให้ไทยมีโอกาสเป็นจุดตั้ง Data Center และ Cloud Region ของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ระดับโลก
ทั้งนี้กลุ่มหุ้นไทยที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากประเด็นข้างต้น ได้แก่ กลุ่มศูนย์ข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ ผลดังกล่าวทำให้หุ้นที่เกี่ยวข้องมีการเข้ามาเก้งกำไรส่งผลให้ราคาหุ้นปรับตัวขึ้น ณ เวลา 10:22 น. นำโดย บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 41.25 บาท บวก 0.25 บาท หรือ 0.61% สูงสุดที่ระดับ 41.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 41 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 147.77 ล้านบาท
บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ITEL ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 1.23 บาท บวก 0.01 บาท หรือ 0.82% สูงสุดที่ระดับ 1.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.22 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 186.61 ล้านบาท
บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 14.60 บาท บวก 0.10 บาท หรือ 0.69% สูงสุดที่ระดับ 14.60 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 14.40 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 21.86 ล้านบาท
บริษัท อินฟราเซท จำกัด (มหาชน) หรือ INSET ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 1.23 บาท บวก 0.01 บาท หรือ 0.82% สูงสุดที่ระดับ 1.25 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 1.22 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 109 ล้านบาท
หลังจากที่ Google Cloud มีการเปิดตัว “TalayLink” สายเคเบิลใต้น้ำเส้นใหม่ที่เชื่อมระหว่างประเทศออสเตรเลียและไทย เพื่อยกระดับการเข้าถึงความเสถียรและความยืดหยุ่นของการเชื่อมต่อดิจิทัลในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกและทั่วโลก โดยการวางเส้นทางเชิงกลยุทธ์นี้ จะช่วยให้ Data Center และ Cloud Region ที่กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทยสามารถเชื่อมโยงเข้ากับเครือข่ายระดับโลกได้อย่างราบรื่น
ทั้งนี้ สายเคเบิล TalayLink ตั้งชื่อตามคำไทยว่า “ทะเล” ถือเป็นการต่อยอดจากโครงการสายเคเบิลเชื่อมโยงระหว่างศูนย์ข้อมูล (Interlink Cable) ที่ Google Cloud ประกาศเปิดตัวเมื่อปีก่อน ภายใต้แผนริเริ่ม Australia Connect โดยสายเคเบิลดังกล่าวจะสร้างเส้นทางใหม่ที่แยกจากเส้นทางเดิมไปยังประเทศไทย ผ่านมหาสมุทรอินเดียทางด้านตะวันตกของช่องแคบซุนดา ซึ่งพื้นที่นี้เป็นเส้นทางที่สายเคเบิลใต้น้ำส่วนใหญ่พาดผ่านในปัจจุบัน
สำหรับประเทศไทย Google Cloud ได้จับมือกับบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC โดยใช้พื้นที่ในภาคใต้ ซึ่งเป็นจุดตัดสำคัญของสายเคเบิลใต้น้ำอยู่แล้ว ทำให้สามารถเร่งการติดตั้งใช้งานได้รวดเร็วขึ้น และสร้างประโยชน์สูงสุดจากการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานท้องถิ่นที่มีอยู่เดิม
โดยเมื่อเดือนกันยายนปี 2567 ทาง Google Cloud ได้ประกาศอย่างเป็นทางการถึงแผนการลงทุนกว่า 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (32,480 ล้านบาท) เพื่อสร้าง Data Center และ Cloud Region ในประเทศไทย โดยมีเป้าหมายเพื่อขยายโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ให้แข็งแรง รองรับการเติบโตในตลาดเทคโนโลยี คาดว่าจะช่วยเพิ่มมูลค่ากว่า 4 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ (129,920 ล้านบาท) ให้กับ GDP ของประเทศไทย ภายในปี 2572
ในส่วนของโครงการ TalayLink นั้น จะมีศูนย์กลางการเชื่อมต่อที่เมือง Mandurah ซึ่งจะทำหน้าที่เป็นจุดเชื่อมต่อขึ้นฝั่งแห่งใหม่แยกจากเมือง Perth ประเทศออสเตรเลีย อันเป็นจุดเชื่อมต่อหลักของสายเคเบิลใต้น้ำส่วนใหญ่ในรัฐ Western Australia ในปัจจุบัน ซึ่งจะช่วยกระจายปริมาณการเชื่อมต่อ และเพิ่มความเสถียรของโครงสร้างพื้นฐานระหว่างประเทศ
นายปรัธนา ลีลพนัง ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC แสดงความยินดีที่จะได้ขยายความร่วมมือกับ Google โดยระบุว่า การผนึกกำลังระหว่างเส้นทางสายเคเบิลใต้น้ำสายใหม่ที่มีความหลากหลายของ Google กับ ศักยภาพด้านโคโลเคชันที่มีเสถียรภาพสูงของ AIS จะช่วยให้โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลในภูมิภาคสามารถสนับสนุนยุทธศาสตร์ด้าน AI ของประเทศได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ทั้งนี้เมื่อโครงการแล้วเสร็จ TalayLink และศูนย์กลางการเชื่อมต่อแห่งใหม่เหล่านี้จะมีบทบาทสำคัญในการสร้างความยืดหยุ่นของเครือข่ายโทรคมนาคมตลอดทั่วทั้งประเทศออสเตรเลีย ทวีปแอฟริกา และภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ซึ่งนอกจากนี้ ยังนับเป็นการขับเคลื่อนและส่งเสริมเป้าหมายของรัฐบาลไทยในการผลักดันการเปลี่ยนแปลงเศรษฐกิจผ่านการเข้าถึง AI และเทคโนโลยีดิจิทัลอย่างทั่วถึง
นายนฤตม์ เทอดสถีรศักดิ์ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) กล่าวว่า สายเคเบิล TalayLink ถือเป็นองค์ประกอบสำคัญของโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ซึ่งเข้ามาช่วยเสริมความสามารถด้านการเชื่อมต่อและความยืดหยุ่นของระบบดิจิทัลของประเทศไทยให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น
“อีกทั้งเมื่อพิจารณาร่วมกับการจัดตั้ง Google Cloud Region และ Data Center ของ Google ที่กำลังจะเกิดขึ้นในประเทศไทย การลงทุนในครั้งนี้ไม่เพียงช่วยยกระดับศักยภาพด้านเครือข่ายและการประมวลผลของภูมิภาคเท่านั้น แต่ยังตอกย้ำบทบาทของประเทศไทยในฐานะ Digital Gateway ที่สำคัญของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ในการเร่งขับเคลื่อนนวัตกรรมคลาวด์ และ AI แห่งอนาคตอย่างมั่นคง” นายนฤตม์ กล่าว
สำหรับความร่วมมือครั้งนี้ Google Cloud ยังได้จับมือกับ บริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เกตเวย์ จำกัด (IGC) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของบริษัท เอแอลที เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ALT ในการเชื่อมโยงสายเคเบิลใต้น้ำเส้นทางใหม่เข้าสู่ประเทศไทย
นอกจากนี้ เมื่อรวมกับการลงทุนในศูนย์กลางการเชื่อมต่อที่ได้ประกาศไปก่อนหน้านี้ ทั้งมัลดีฟส์และเกาะคริสต์ มาส การลงทุนเหล่านี้จะช่วยขยายการเชื่อมโยงเครือข่ายออกไปทั่วทั้งในมหาสมุทรอินเดีย และครอบคลุมไปถึงภูมิภาคตะวันออกกลาง
ด้านนายกรภัทร วรเชษฐ์ ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ หัวหน้าสายงานวิจัย บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) กล่าวถึง กรณี Google Cloud ประกาศเปิดตัวโครงการ TalayLink สายเคเบิลใต้น้ำเส้นใหม่เชื่อมระหว่างประเทศไทยและออสเตรเลีย ผ่านเส้นทาง Indian Ocean Route ซึ่งจะทำให้ไทยกลายเป็นศูนย์กลางการรับส่งข้อมูลดิจิทัล (Digital Transit Hub) ของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก
“การลงทุนครั้งนี้ไม่ได้เพียงเพิ่มความจุ (bandwidth) ของโครงข่ายอินเทอร์เน็ตระหว่างประเทศ แต่ยกระดับความเสถียรและความเร็วของการเชื่อมต่อ ลด latency และเพิ่ม redundancy ลดความเสี่ยงจากการขาดสายเคเบิล ส่งผลให้ไทยมีโอกาสเป็นจุดตั้ง Data Center และ Cloud Region ของบริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่ระดับโลก”
สำหรับผลกระทบเชิงโครงสร้างต่อเศรษฐกิจไทย มองว่า จะช่วยลด Latency ทำให้การเชื่อมต่อระหว่างประเทศเร็วขึ้น เสถียรขึ้น และเพิ่ม Redundancy หรือ ลดความเสี่ยงจากการขาดเคเบิล นอกจากนี้ ยังกระตุ้นการลงทุน Data Center/Cloud Region ดึงนักลงทุนต่างชาติเข้ามา รวมทั้งเสริมสถานะไทยเป็น Digital Transit Hub ของภูมิภาค
โดยกลุ่มหุ้นไทยที่ได้ประโยชน์ ได้แก่ กลุ่ม ศูนย์ข้อมูลและโครงสร้างพื้นฐานคลาวด์ นำโดย บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF, บริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือ ADVANC, บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ITEL เพิ่มรายได้จากการเชื่อมต่อระหว่างประเทศ (International Transit) และการเชื่อมต่อระหว่างเครือข่าย (Peering) เพิ่มขึ้น ขณะที่ปริมาณดาต้าเพิ่มขึ้นตามการใช้งานคลาวด์ ลดต้นทุนบางส่วนจากเส้นทางตรง
รวมทั้งหุ้นกลุ่มนิคมอุตสาหกรรมและสาธารณูปโภค (Utilities) ได้รับอานิสงส์จากความต้องการที่ดินและโรงไฟฟ้าเพื่อรองรับ Data Center เพิ่มขึ้น รวมถึงสัญญาซื้อขายไฟฟ้าระยะยาว และการเติบโตของโหลดไฟฟ้า
โดยหุ้นเด่นกลุ่มนี้ ได้แก่ บริษัท ดับบลิวเอชเอ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ WHA, บริษัท อมตะ คอร์ปอเรชัน จำกัด (มหาชน) หรือ AMATA, บริษัท กัลฟ์ ดีเวลลอปเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ GULF, บริษัท โกลบอล เพาเวอร์ ซินเนอร์ยี่ จำกัด (มหาชน) หรือ GPSC, บริษัท บี.กริม เพาเวอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ BGRIM
ขณะที่หุ้นงานก่อสร้าง Data Center และระบบไฟเบอร์/คูลลิ่ง หุ้นเด่นได้แก่ บริษัท อินฟราเซท จำกัด (มหาชน) หรือ INSET, บริษัท สเตคอน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ STECON
นายกรภัทร กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการ TalayLink ถือเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของไทยด้านโครงสร้างพื้นฐานดิจิทัล ดันไทยขึ้นเป็นศูนย์กลางดิจิทัลของภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิก พร้อมดึงการลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศรอบใหม่เข้ามาสร้าง ศูนย์ข้อมูล (Data Center) เพิ่มรายได้ให้กลุ่มโทรคมนาคมและโครงสร้างพื้นฐาน ในลักษณะการเติบโตเชิงโครงสร้าง และช่วยยกระดับความน่าเชื่อถือของประเทศผ่านความมั่นคงของโครงข่าย
