
ปลดล็อกซื้อหุ้นคืนไม่ต้องรอ 6 เดือน! ดันแบงก์วิ่งคึก “ดาโอ” ชี้ KTB–TTB รับประโยชน์เต็ม
ราชกิจจาเบกษาออกเกณฑ์ซื้อหุ้นคืนใหม่ เปิดทางทำโครงการได้ต่อเนื่องไม่ต้องรอ 6 เดือน มีผล 14 พ.ย.68 “บล.ดาโอ” ประเมินบวกต่อกลุ่มแบงก์ที่ซื้อหุ้นคืนจำนวนมาก โดยเฉพาะ TTB–KTB พร้อมคงน้ำหนักลงทุน “มากกว่าตลาด” และเลือก KTB–SCB เป็น Top Pick จาก PBV ต่ำและปันผลสูง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้หุ้นกลุ่มแบงก์บวกคึก! นำโดยธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB ณ เวลา 10.35 น. อยู่ที่ระดับ 1.96 บาท บวก 0.03 บาท หรือ 1.55% ราคาสูงสุด 1.98 บาท ราคาต่ำสุด 1.98 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 1.18 พันล้านบาท โดยราคาหุ้นล่าสุดต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชีที่ระดับ 2.54 บาท
ธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KTB ณ เวลา 10.39 น. อยู่ที่ระดับ 27.75 บาท บวก 0.50 บาท หรือ 1.83% ราคาสูงสุด 27.75 บาท ราคาต่ำสุด 27.00 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 920.38 ล้านบาท โดยราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชีที่ระดับ 33.00 บาท
บริษัท เอสซีบี เอกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ณ เวลา 10.39 น. อยู่ที่ระดับ 131.00 บาท บวก 1.00 บาท หรือ 0.77% ราคาสูงสุด 130.00 บาท ราคาต่ำสุด 131.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 465.26 ล้านบาท โดยราคาหุ้นล่าสุดต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชีที่ระดับ 144.39 บาท
ธนาคารกสิกรไทย จำกัด (มหาชน) หรือ KBANK ณ เวลา 10.41 น. อยู่ที่ระดับ 189.00 บาท บวก 1.00 บาท หรือ 0.53% ราคาสูงสุด 189.00 บาท ราคาต่ำสุด 187.50 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 546.74 ล้านบาท โดยราคาหุ้นล่าสุดต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชีที่ระดับ 247.32 บาท
ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) หรือ BBL ณ เวลา 10.50 น. อยู่ที่ระดับ 159.00 บาท บวก 1.50 บาท หรือ 0.95% ราคาสูงสุด 159.00 บาท ราคาต่ำสุด 157.00 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 387.23 ล้านบาท โดยราคาหุ้นล่าสุดต่ำกว่ามูลค่าหุ้นทางบัญชีที่ระดับ 306.24 บาท
บล.ดาโอ ระบุในบทวิเคราะห์วันนี้(26 พ.ย.68) ว่า กลุ่มแบงก์ (Overweight) หลังราชกิจจาฯออกเกณฑ์ใหม่เรื่องซื้อหุ้นคืน โดยยกเลิกข้อบังคับที่ต้องรอ 6 เดือนก่อนเริ่ม buyback ใหม่
โดยราชกิจจามเบกษามีการประกาศเกณฑ์ไหม่เรื่อง “โครเการซื้อหุ้นคืน” โดยมีการกำหนดหนดหลักกณฑ์ไหม่ มีผลวันที่ 14 พ.ย. 25 โดยมีรายละเอียดดังนี้
1) บริษัทสามารถทำโครงการซื้อหันคืนได้ต่อเนื่อง โดยยยยทเลิกกฎเดิมที่ต้องรอ 6 เดือน หลังจบโครงการก่อน
2) ห้ามผู้ถือหุ้นใหญ่ซื้อขายช่วงซื้อหุ้นคืน โดยต้องมีมาตรการควบคุมเป็นไม่ให้ผู้ถือหุ้นใหญ่-ผู้บริหารซื้อขายเพื่อประโยชน์ส่วนตัวระหว่าง buyback
3) เพิ่มระบควบคุมภายใน (Internal Control) บริษัทต้องมีระบบที่ตรวจสอบได้ เช่น ผู้รับผิดชอบภายใน, ขั้นตอบการตรวจสอบ, เอกสารประกอบเพื่อaudit, วิธีประเมินราคาซื้อหุ้นคืน
4) ต้องเปิดเผยข้อมูลมากว่าเดิม เช่น วิธีขึ้นหุ้นคืน (ผ่านตลาค/โบรกเกอร์), มาตรการป้องกัน conflict of interest, รายงานสถานะโครงการเป็นระยะๆ, รายงานผลเมื่อซื้อเสร็จสิ้น
5) คณะกรรมการบริษัทต้องรับรองความโปร่งใส โดยต้องรับรองว่าการซื้อหุ้นคืนไม่มีประโยชน์ทับซ้อน และต้องรับรองว่าบริษัทมีระบบควบคุมที่ตรวจสอบได้จริง (ที่มา: เว็บไซด์ราชกิจจาฯ)
โดย DAOL: มองเป็น sentiment เชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มธนาคารที่มีการซื้อหุ้น คืนค่อนข้างเยอะในช่วงที่ผ่านมา (KBANK, KKP, TTB) โดยจากเกณฑ์ใหม่ ถึงแม้ว่าจะเข้มงวดกับบริษัทและผู้ถือหุ้นรายใหญ่มากขึ้นจากการไม่สามารถ ซื้อ-ขายหุ้นได้ในช่วงที่อยู่ระหว่างโครงการซื้อหุ้นคืน
แต่อย่างไรก็ดีมองว่า การปลดล็อกเรื่องที่ต้องรอ 6 เดือน หลังจบโครงการก่อนถึงจะซื้อหุ้นคืนต่อได้ จะช่วยให้หลายบริษัทสามารถทำโครงการซื้อหุ้นคืนได้อย่างต่อเนื่องได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง TTB ที่มีโครงการซื้อหุ้นคืนถึง 3 ปี ซึ่งจะช่วยพยุงราคาหุ้นได้ ยังคงน้ำาหนักเป็น “มากกว่าตลาด” เลือก KTB, SCB เป็น Top pick
โดยให้น้ำหนักการลงทุนของกลุ่มธนาคารเป็น “มากกว่าตลาด” เพราะ valuation ยัง ถูก โดยเทรดที่ระดับเพียง 0.71x PBV (-1.00SD below 10-yr average PBV) และระดับ Dividend yield ของกลุ่มที่อยู่สูงถึง 7% จากค่าเฉลี่ยของตลาดหุ้นที่ 3% โดยยังคงเลือก KTB (แนะซื้อเป้า 30.00 บาท) และ SCB (แนะซื้อเป้า 150.00 บาท) เป็น Top pick
KTB ราคาเป้าหมายที่ 30.00 บาท อิง 2026E PBV ที่ 0.85 เท่า จากแนวโน้มกำไรที่ยังเติบโตได้ดี ประกอบกับมีแผนทำโครงการซื้อหุ้นคืนเร็วๆนี้ และมี Asset Quality ที่แข็งแกร่งจากการเน้น ปล่อยสินเชื่อภาครัฐ ซึ่งเป็นสินเชื่อที่มีความเสี่ยงต่ำและรองรับกับสภาพ เศรษฐกิจที่ชะลอตัวลงได้ รวมถึง KTB มี Dividend yield สูงราว 7% นอกจากนี้ยังมี Coverage ratio ที่ยังอยู่ในระดับสูงถึง 207% ด้าน valuation ปัจจุบันซื้อขายที่ระดับต่ำเพียง PBV ที่ 0.83x (-0.25SD below 10-yr average PBV)\
SCB ราคาเป้าหมายที่ 150.00 บาท อิง 2026E PBV ที่ 1.00 เท่า จากแนวโน้มกำไรสุทธิปี 2568 ที่เติบโตได้โดด เด่น และมีเงินปันผลที่สูงที่สุดในกลุ่มที่ราว 8% ประกอบกับแนวโน้ม NPL มี การปรับตัวลดลงอย่างชัดเจน
