Kering

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (21 ต.ค.68) ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อวันจันทร์ที่ 20 ตุลาคม 2568 ปิดบวก โดยดัชนี STOXX 600 ปิดที่ระดับ 572.10 จุด เพิ่มขึ้น 5.86 จุด หรือ +1.03% ซึ่งถือเป็นการปรับตัวขึ้นรายวันมากที่สุดในรอบเกือบสามสัปดาห์ หลังจากความกังวลเกี่ยวกับเสถียรภาพของภาคธนาคารสหรัฐฯ คลี่คลายลง และคำกล่าวของ ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ส่งสัญญาณว่าอาจลดภาษีนำเข้าสินค้าจากจีน หากจีนกลับมาซื้อสินค้าเกษตรจากสหรัฐฯ โดยเฉพาะถั่วเหลือง ขณะเดียวกัน ตลาดยังได้รับแรงหนุนจากถ้อยแถลงของทรัมป์ที่ยืนยันจะพบปะกับ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง แห่งจีนที่เกาหลีใต้ในเร็ว ๆ นี้ รวมถึงการเจรจาระหว่าง นายสก็อตต์ เบสเซนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังสหรัฐฯ กับคู่เจรจาจีนภายในสัปดาห์นี้ ซึ่งช่วยลดความตึงเครียดทางการค้าและกระตุ้นให้เงินทุนไหลกลับเข้าสินทรัพย์เสี่ยง ทั้งนี้ ดัชนีสำคัญในยุโรปปิดบวกถ้วนหน้า ได้แก่ ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนี ปิดที่ 24,258.80 จุด เพิ่มขึ้น 427.81 จุด หรือ +1.80% ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศส ปิดที่ 8,206.07 จุด เพิ่มขึ้น 31.87 จุด หรือ +0.39% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอน ปิดที่ 9,403.57 จุด เพิ่มขึ้น 49.00 จุด หรือ +0.52% ด้าน หุ้นกลุ่มอุตสาหกรรม เป็นแรงขับเคลื่อนหลักของตลาด โดยเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 1.9% ขณะที่ หุ้นในกลุ่มการป้องกันประเทศ ฟื้นตัวแรงนำตลาด หลังร่วงลงเมื่อปลายสัปดาห์ก่อนจากข่าวการจัดประชุมสุดยอดว่าด้วยสถานการณ์สงครามยูเครน อาทิ หุ้น Rheinmetall พุ่งขึ้น 5.9% หุ้น Hensoldt พุ่งขึ้น 7.9% และ หุ้น Renk ปรับขึ้น 6.8% หุ้นกลุ่มธนาคารยุโรป ก็ฟื้นตัวเช่นกัน โดยปรับขึ้นเฉลี่ย 1% หลังจากธนาคารสหรัฐฯ รายงานผลประกอบการไตรมาสที่ดีกว่าคาด ซึ่งช่วยบรรเทาความกังวลเรื่องความเสี่ยงสินเชื่อในภาคการเงิน ในฝั่งฝรั่งเศส ตลาดกลับมาปิดบวกได้ แม้ในช่วงต้นถูกกดดันจากการที่ S&P Global Ratings ปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือของฝรั่งเศสลงหนึ่งขั้นเมื่อปลายสัปดาห์ก่อน โดยให้เหตุผลว่า ความไม่มั่นคงทางการเมืองอาจกระทบต่อความพยายามของรัฐบาลในการฟื้นฟูฐานะการคลัง นอกจากนี้ หุ้น Kering เจ้าของแบรนด์ Gucci พุ่งขึ้น 4.8% หลังประกาศขายธุรกิจเครื่องสำอางให้กับ L’Oreal มูลค่า 4 พันล้านยูโร (ประมาณ 4.66 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ) หนุนให้ดัชนีหุ้นฝรั่งเศสโดยรวมปรับขึ้น ขณะที่ L’Oreal เพิ่มขึ้น 1.2% นักวิเคราะห์มองว่า แม้ตลาดตอบรับเชิงบวกต่อท่าทีของทรัมป์และแนวโน้มการเจรจาการค้า แต่ความเชื่อมั่นโดยรวมยังเปราะบาง เนื่องจากยังไม่มีพัฒนาการเชิงรูปธรรมในการยุติสงครามหรือคลี่คลายความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ในระยะสั้น