
7 โบรกชี้ NER ฟื้นแรงไตรมาส 4 พ่วงยีลด์ 8% ชูเป้าสูง 6.25 บาท
7 โบรกประสานเสียง NER ไตรมาส 4/68 ฟื้นแรง จากปริมาณขายเพิ่มและ GPM ฟื้นตัว หนุนแผนธุรกิจปี 68–69 โตต่อเนื่อง ด้านราคาเป้าหมายสูงสุด 6.25 บาท พร้อมคาดเงินปันผลครึ่งหลัง 2568 ยีลด์สูงราว 7–8%
กระแสเชิงบวกเริ่มไหลกลับสู่หุ้นรับเหมาผลิตยางพาราอย่าง บริษัท นอร์ทอีส รับเบอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ NER หลังบรรดาโบรกเกอร์ชั้นนำของไทย 7 แห่ง ออกบทวิเคราะห์ล่าสุดให้สัญญาณตรงกันว่า “กำไรไตรมาส 4/68 มีแนวโน้มฟื้นแรง” จากแรงหนุนปริมาณขายที่เร่งตัว อัตรากำไร (GPM) ปรับดีขึ้น และการรับรู้คำสั่งผลิตจาก กยท. เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง
ขณะที่แผนธุรกิจปี 2568–2569 ยังเดินหน้าแข็งแรง ทั้งการขยายกำลังการผลิต–โรงงานใหม่ และการเติบโตของดีมานด์จากจีน–อินเดีย ด้านราคาเป้าหมายสูงสุดขยับถึง 6.25 บาท พร้อมคาดปันผลครึ่งหลังปี 2568 ทะลุยีลด์ 7–8% ตอกย้ำมุมมองเชิงบวกระยะกลางซึ่งระบุไว้ดังนี้
บริษัทหลักทรัพย์ พาย จำกัด (มหาชน) คงแนะนำ “ซื้อ” NER โดยมองว่าแนวโน้มผลประกอบการงวดไตรมาส 4/68จะกลับมาปรับตัวเพิ่มขึ้นจาก ไตรมาส 3/68 ได้หลังมีปริมาณขายเพิ่มขึ้น จากผลดีของการเซ็นสัญญา รับจ้าง กยท. ผลิตยางแท่ง รวมถึงผลตอบแทนเงินปันผลที่คาดว่าในช่วยครึ่งปีหลัง 2568 จะจ่ายอีกประมาณ 0.35 บาท/หุ้น คิดเป็นผลตอบแทนกว่า 8%
ด้านผลประกอบการงวด ไตรมาส 3/68 มีกำไรสุทธิ 327 ล้านบาท (-10%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) แต่ถ้าไม่รวมรายการพิเศษจะมีกำไรปกติเพิ่มขึ้น 53%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับความคืบหน้าการสร้างโรงงานใหม่ ล่าสุดผู้บริหารตัดสินใจเดินหน้าก่อสร้างแล้วหลังจากที่มีคำสั่งซื้อจากลูกค้าอินเดียและ กยท. เข้ามา โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงปลายปี 26
ส่วนกำไรสุทธิในช่วง 9M25 คิดเป็นสัดส่วน 80% ของกำไรสุทธิในปี 2568 ที่ประมาณไว้ และจากแนวโน้มในช่วงไตรมาส 4/68ที่คาดปริมาณขายเพิ่มขึ้น จึงยังคงเป้ากำไรสุทธิทั้งปีไว้เท่าเดิมก่อนที่ 1,863 ล้านบาท (โต 13% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) โดยยังไม่รวมเงินประกันเหตุไฟไหม้ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 180 ล้านบาท และเรายังคงคำแนะนำ “ซื้อ” เช่นเดิม และประเมินมูลค่าเหมาะสมที่ 6.25 บาท
บริษัทหลักทรัพย์ หยวนต้า (ประเทศไทย) จำกัด รายงานกำไรปกติ ไตรมาส 3/68 ที่ 339 ล้านบาท (-30.8% เทียบไตรมาสก่อนหน้า, +53.0% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) ใกล้เคียงกับที่คาด โดยกำไรสุทธิอยู่ที่ 327 ล้านบาท เนื่องจากมีผลขาดทุนจากอนุพันธ์และค่าใช้จ่ายจากอัคคีภัยรวม 47 ล้านบาท มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 38 ล้านบาท รายได้หลักอยู่ที่ 6,727 ล้านบาท ลดลง 11.3% เทียบไตรมาสก่อนหน้า จาก ASP ที่ลดลง 12.0% เทียบไตรมาสก่อนหน้า เป็น 59.8 บาท/กก. แต่รายได้เพิ่มขึ้น 9.1% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น 14.7% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ ASP เพิ่มขึ้น 5.6% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยปริมาณขายอยู่ที่ 1.12 แสนตัน (คาด 1.15 แสนตัน) GPM อยู่ที่ 8.9% ลดลงจาก 10.5% ในไตรมาส 2/68 ตามราคาขายที่ลดลงมาก เทียบไตรมาสก่อนหน้า แต่ดีขึ้นจาก 8.3% ในไตรมาส 3/67 ตาม ASP ที่ดีกว่าเล็กน้อย งบดุลยังอยู่ในเกณฑ์ปกติ DE Ratio อยู่ที่ราว 1.2 เท่า ใกล้เคียงกับไตรมาส 2/68
แนวโน้มกำไรไตรมาส 4/68คาดเติบโต เทียบไตรมาสก่อนหน้า จากปริมาณขายที่คาดว่าจะเร่งตัวขึ้นที่ราว 1.15 – 1.20 แสนตัน เพื่อให้ปริมาณขายเป็นไปตามเป้าที่ 4.7 แสนตัน สำหรับทั้งปี 2568 นอกจากนี้ ASP คาดว่าจะปรับขึ้นได้เล็กน้อย เทียบไตรมาสก่อนหน้า อย่างไรก็ตามคาดกำไรลดลง เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เพราะมีฐานที่สูง เนื่องจากเป็นช่วงที่ราคาขายเริ่มปรับขึ้นชัดเจนและไตรมาส 4/68 ปริมาณขายสูงถึง 1.36 แสนตัน คาดกำไรสุทธิเบื้องต้นที่ 400 ล้านบาท+/-
ส่วนกำไรปกติ 9 เดือนปี 2568 อยู่ที่ 1,422 ล้านบาท (+19.6% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) คิดเป็นสัดส่วน78% จึงยังคงประมาณการและคงราคาเป้าหมายสิ้นปี 2568 อยู่ที่ 6.20 บาท ปัจจุบันซื้อขายที่ PER25 ต่ำเพียง 4.9 เท่า และคาดเงินปันผลครึ่งหลัง 2568 ที่ 0.31 บาท ให้ผลตอบแทนจากเงินปันผล 7.5% คงคำแนะนำซื้อ
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) ยังคงคำแนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 6.10 บาท โดยมีมุมมอง “Positive” ต่อข้อมูลที่ได้รับจากงานประชุมนักวิเคราะห์ฯ เนื่องจากผู้บริหารยังคงเป้าปริมาณการขายปี 2568 ที่ 470,000 ตัน และคาดบันทึกค่าเคลมประกันเพิ่มอีก 180-200 ล้านบาท ในไตรมาส 4/68 รวมถึงแนวโน้มปี 2569 คาดปริมาณการขายจะขยับขึ้นเป็น 500,000 ตัน (+6%) จากลูกค้าใหม่ในอินเดียและการผลิตให้ กยท. เพิ่มขึ้น นอกจากนี้ บริษัทคาดจะสร้างโรงงานใหม่แล้วเสร็จและสามารถผลิตได้ไตรมาส 4/69 หนุนการเติบโตในระยะกลาง ขณะที่ Valuation ยังถูก Forword PE เพียง 4.3 เท่า (-1SD) และเป็นหุ้นปันผลสูง 8-9%/ปี
ผู้บริหารคงเป้าปริมาณการขายปี 2568 ที่ 470,000 ตัน (โต 7% เทียบช่วงเดียวกันขอปปีก่อน) คาดบันทึกค่าเคลมประกันราว 180-200 ล้านบาท ในไตรมาส 4/68
ปี 2569 คาดปริมาณการขายราว 500,000 ตัน ปัจจัยหนุนจากลูกค้าใหม่จากอินเดีย และการผลิตให้ กยท. ราว 15,000 ตัน/เดือน
โดยมี Upside โรงงานใหม่ กำลังการผลิต 300,000 ตัน แล้วเสร็จไตรมาส 4/68 (จากเดิมที่คาดว่าจะสร้างในปี 2568) – หนุนการเติบโตในระยะกลาง ช่วงแรกคาดผลิต 100,000 ตัน เพื่อรองรับคำสั่งซื้อที่เพิ่มขึ้นและค่อยๆ ramp up กำลังการผลิตขึ้น
บริษัทหลักทรัพย์ กรุงไทย เอ็กซ์สปริง จำกัด คงคำแนะนำ Outperform ด้วยมูลค่าเหมาะสมปี 2568 ที่ 5.38 บาท อิงอัตราผลตอบแทนที่คาดหวัง 20.7% สะท้อน PER เป้าหมายที่ 4.8 เท่า Valuation Metrics บ่งชี้ว่าราคาหุ้นปัจจุบันต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน ขณะที่การเติบโตของกำไรมีความสม่ำเสมอ และมุมมองเชิงเทคนิคอยู่ในระดับปานกลาง
ปัจจัยกดดันด้านราคายางที่ลดลงและค่าเงินบาทที่แข็งค่า มีแนวโน้มที่ดีขึ้นในช่วงไตรมาส 4/68 ขณะที่ปี 2569 มองว่าสภาพอากาศมีโอกาสเอื้อให้ราคายางปรับตัวขึ้น
NER รายงานกำไรสุทธิ ไตรมาส 3/68 ที่ 327 ล้านบาท (-10% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, −41% เทียบไตรมาสก่อนหน้า) ต่ำกว่าคาดของ Bloomberg Consensus ราว 8%
รายได้ ไตรมาส 3/68 อยู่ที่ 6.7 พันล้านบาท (+9% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, −11% เทียบไตรมาสก่อนหน้า) ผลักดันโดยปริมาณการขายที่เพิ่มขึ้นราว 15% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และทรงตัว เทียบไตรมาสก่อนหน้า สู่ระดับ 112,439 ตัน ขณะที่ราคาขายเฉลี่ยลดลง 5% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 12% เทียบไตรมาสก่อนหน้า ตามแนวโน้มขาลงของราคายาง
โดย GPM อยู่ที่ 8.9% โดยขยายตัวขึ้นจาก 8.3% ในไตรมาส 3/67 แต่ลดลงจาก 10.5% ในไตรมาส 2/68 สะท้อนราคาขายที่ลดลง
ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้ ควบคุมได้ดีที่ 2.1% เทียบกับ 2.9% ในไตรมาส 3/674 และ 2.0% ในไตรมาส 2/68
กำไร 9 เดือน 2568 คิดเป็น 73% ของคาดการณ์กำไรปี 2568 โดยมองเห็น Downside risk เล็กน้อยต่อประมาณการของเรา
แนวโน้มไตรมาส 4/68 มีโอกาสฟื้นตัว เทียบไตรมาสก่อนหน้า โดยแรงกดดันจากราคายางขาลงและเงินบาทที่แข็งค่าน่าจะทุเลาลง ขณะเดียวกันบริษัทยังมีโอกาสรับรู้ค่าชดเชยสินไหมจากเหตุการณ์ไฟไหม้เพิ่มเติม
บริษัท หลักทรัพย์ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) รายงานกำไรไตรมาส 3/68 อ่อนตัว เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนและ เทียบไตรมาสก่อนหน้าจากราคาขายเฉลี่ยลดลง ตามราคายางในตลาดโลก ขณะที่ปริมาณขายปรับตัวเพิ่มขึ้น เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนสำหรับค่าใช้จ่ายในการบริหาร เพิ่มขึ้น เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนจากผลขาดทุนจากเหตุ ไฟไหม้ โรงงานบริเวณโกดังเก็บสินค้ายางพารา ราว 33 ล้านบาท นอกจากนี้คาดกำไรปี 68 ขยายตัว เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนหนุนจากคำสั่งซื้อล่วงหน้า และแนวโน้ม Demand ที่เร่งตัวขึ้น นอกจากนี้คาดรับปัจจัยบวกจาก การรับเงินชดเชยประกันจากเหตุไฟไหม้ที่ครอบคลุมค่าเสียหายในไตรมาส 4/688 แนะนำ ให้ซื้อที่ราคาพื้นฐาน 5.15 บาท
รายงานกำไรไตรมาส3/68 อ่อนตัว เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนและ เทียบไตรมาสก่อนหน้าจากราคาขายเฉลี่ย ลดลงตามราคายางในตลาดโลก ขณะที่ปริมาณขาย เท่ากับ 112,439 ตัน (+14.73% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) ส่งผลให้รายได้จากการขาย เติบโต 9.15% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนสำหรับค่าใช้จ่ายในการบริหาร เท่ากับ 90 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 18.59% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนจากผลขาดทุนจากเหตุไฟไหม้ โรงงานบริเวณโกดังเก็บสินค้ายางพารา โดย มูลค่าความเสียหายตามบัญชีเท่ากับ 152 ล้านบาท บริษัทได้รับเงินชดเชยจากบริษัทประกันในไตรมาสนี้ราว 119 ล้านบาทส่งผลให้ขาดทุนสุทธิราว 33 ล้านบาท
คาดกำไรปี 68 โต เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน: คาดกำไรปี 68 ขยายตัว 23% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนหนุนจากคำสั่งซื้อล่วงหน้า และแนวโน้มDemand เร่งตัวขึ้นตามการเติบโตของอุตสาหกรรมยางล้อจีน นอกจากนี้เราคาดรับปัจจัยบวกจากการรับเงินชดเชยประกันจากเหตุไฟไหม้ที่ครอบคลุมค่าเสียหายในไตรมาส 4/68 แนะนำซื้อที่ราคาพื้นฐาน 5.15บาท
บริษัทหลักทรัพย์ อินโนเวสท์ เอกซ์ จำกัด กลยุทธ์ลงทุนช่วงสั้นยังคงแนะนำ Neutral เพราะมีจุดเด่นที่ปันผลสูง โดยคาดมีเงินปันผลจ่ายจากกำไรครึ่งแรก 2568 หุ้นละ 0.33 บาท คิดเป็น Div. Yield สูงราว 8% ขณะที่แม้ราคาหุ้นปัจจุบันจะมี Upside 20% จากราคาเป้าหมายปี 2569 ที่หุ้นละ 5.00 บาท (EPS อิงจำนวนหุ้นที่เพิ่มขึ้นจากใช้สิทธิแปลงสภาพ NER-W2 ซึ่งมี 308 ล้านหน่วย และกำหนดให้ใช้สิทธิเท่ากัน 2 ครั้งในเวลาที่เหลืออีก 7 เดือน พร้อมอิงค่าเฉลี่ย PER 3 ปีย้อนหลังล่าสุดที่ 5.5 เท่า) แต่ยังมีความเสี่ยงที่ต้องติดตามอยู่ที่มาตรการภาษีนำเข้าของสหรัฐซึ่งยังไม่มีรายละเอียดชัดเจนเกี่ยวกับรายการสินค้าที่ถูกจัดเก็บและสัดส่วน Local Content ที่จะถูกนำมาพิจารณาในเกณฑ์ภาษี ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อห่วงโซ่อุปทานและคำสั่งซื้อในระยะถัดไป ทำให้ Risk/Reward ยังไม่คุ้มค่าสำหรับซื้อลงทุนใหม่ในช่วงสั้น
ผู้บริหาร NER คงเป้าปริมาณขายยางปีนี้ที่ 4.7 แสนตัน (+7%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) โดยไตรมาส 4/68 คาดยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้นจะดีกว่าไตรมาส 3/68 เพราะราคาขายยางเริ่มดีขึ้น หลังรัฐบาลเข้ามาดูแลราคายางและพ้นช่วงที่ผู้ประกอบการแย่งกันขายจากกังวลภาษีนำเข้าสหรัฐซึ่งกดดันให้มีการแข่งขันด้านราคาสูง อีกทั้งคาดจะมีการรับรู้ยอดผลิตยางให้แก่ กยท. ราว 3 หมื่นตันในช่วง พ.ย.-ธ.ค. นี้ ส่วนเหตุไฟไหม้ที่โรงเก็บสินค้าคาดจะมีการบันทึกค่าสินไหมชดเชยเพิ่มอีกราว 200 ล้านบาท ในช่วงไตรมาส 4/68-ไตรมาส 1/69 ซึ่งบริษัทจะนำเงินค่าชดเชยที่ได้ไปสร้างโรงเก็บสินค้าใหม่ ขณะที่แผนขยายโรงงานแห่งที่ 3 คาดจะเริ่มสร้างต้นปีหน้าและดำเนินการผลิตได้ในไตรมาส 3/69 ซึ่งจะทำให้สามารถรองรับคำสั่งผลิตยางให้แก่ กยท. ปีละ 2.0 แสนตัน เป็นเวลา 5 ปี หลังมีการเซ็น MOU กันไปในช่วง ต.ค. ที่ผ่านมา
บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) NER รายงานกำไรปกติ ไตรมาส 3/68 (ไม่รวมค่าใช้จ่ายพิเศษและเงินเคลมประกันจากเหตุการณ์ไฟไหม้ รวมถึงกำไรอยู่ที่ 339 ล้านบาท (+53% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, -31% เทียบไตรมาสก่อนหน้า) ต่ำกว่าเราประเมิน -20% โดยมีปัจจัยสำคัญ ดังนี้
1)รายได้ขยายตัว +9% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ลดลง -11% เทียบไตรมาสก่อนหน้า โต เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากฐานต่ำในไตรมาส 3/67 ที่ปริมาณวัตถุดิบได้รับผลกระทบจากภัยแล้ง ขณะที่อ่อนตัว เทียบไตรมาสก่อนหน้า จากราคายางปรับตัวลง
2) GPM ดีขึ้น +60bps เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน แต่ชะลอ -160bps เทียบไตรมาสก่อนหน้า ปรับตัวดีขึ้น เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นไปตามปริมาณขายสูงขึ้น
แต่ปรับตัวลง เทียบไตรมาสก่อนหน้า กดดันโดยราคาขายเฉลี่ยลดลง -12% เทียบไตรมาสก่อนหน้า ปรับกำไรปกติปี 2568/2569 ลง -7%/-6% เป็น 1.8 พันล้านบาท/1.9 พันล้านบาท (+8% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน/+3% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) จากการปรับสมมติฐาน GPM ลงเพื่อสะท้อนทิศทางราคายางอ่อนตัว
สำหรับไตรมาส 4/68 เบื้องต้น คาดการณ์กำไรปกติจะกลับมาอ่อนตัว เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน จากผลกระทบราคายางชะลอ แต่ดีขึ้นเล็กน้อย เทียบไตรมาสก่อนหน้า อานิสงส์ปัจจัยฤดูกาล
คงคำแนะนำ “ถือ” ปรับราคาเป้าหมายลงเป็น 4.70 บาท (เดิม 5.00 บาท) อิง 2026E PER 4.7x (-1SD below 5-yr average PER) ตามการปรับประมาณการลง ทั้งนี้เราคงมุมมองระมัดระวังหลังราคายาง ยังอ่อนตัว -15% YTD ขณะที่ระยะสั้นขาด catalyst ใหม่โดยโรงงานแห่งใหม่คาดจะเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ได้เร็วสุดในไตรมาส 4/69

