BCP พุ่งแรง 6% รับแผนซื้อหุ้นคืน 3.8 พันล. โบรกเชียร์ “ซื้อ” เคาะเป้า 47 บาท

BCP พุ่งแรง 6% โบรกเชียร์ “ซื้อ” เคาะเป้าสูง 47 บาท หลังบอร์ดอนุมัติซื้อหุ้นคืนวงเงินรวม 3,800 ล้านบาท ประเดิมล็อตแรก 1,100 ล้านบาท เริ่ม 16 ธ.ค. นี้ โบรกฯ ประสานเสียงเชียร์ซื้อ มองราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐาน หนุน EPS–ROE ฟื้นตัวโรงกลั่น–พลังงานหนุนเป้าสูงสุด 47 บาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(1ธ.ค.68) ราคาหุ้นบริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP ณ เวลา 10:37 น. อยู่ที่ระดับ 26.50 บาท บวก 1.50 บาท หรือ 6.00% ราคาสูงสุด 26.75 บาท ราคาต่ำสุด 24.20 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 340.62 ล้านบาท

นายชัยวัฒน์ โควาวิสารัช ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มบริษัทบางจากและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท บางจาก คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ BCP  เปิดเผยว่า ตามที่ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ ครั้งที่ 15/2568 ได้มีมติอนุมัติการนำเสนอโครงการซื้อหุ้นคืนของบริษัท เพื่อบริหารทางการเงิน (Treasury Stocks) ภายใต้วงเงินรวมจำนวนไม่เกิน 3,800 ล้านบาท ระยะเวลา 3 ปี เริ่มตั้งแต่ปี 2568 ไปจนถึงปี 2571

โดยบริษัทจะดำเนินการซื้อหุ้นคืนครั้งแรกในปี 2568 ด้วยวงเงินไม่เกิน 1,100 ล้านบาท และจำนวนหุ้นที่จะซื้อคืนไม่เกิน 29.50 ล้านหุ้น หรือคิดเป็นไม่เกิน 2.14% ของจำนวนหุ้นที่จำหน่ายได้แล้วทั้งหมด โดยซื้อด้วยวิธีจับคู่อัตโนมัติผ่านระบบซื้อขายของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย และมีกำหนดระยะเวลาซื้อหุ้นคืน 6 เดือน นับตั้งแต่วันที่ 16 ธันวาคม 2568 ถึงวันที่ 15 มิถุนายน 2569

ทั้งนี้การซื้อหุ้นคืนดังกล่าวนี้ จะช่วยสร้างความเชื่อมั่นแก่นักลงทุนในศักยภาพของธุรกิจ และความสามารถในการทำกำไรและการสร้างรายได้ของบริษัทฯ ในอนาคต และช่วยเพิ่มอัตราผลตอบแทนต่อส่วนของผู้ถือหุ้น (ROE) และกำไรสุทธิต่อหุ้น (EPS) เพื่อให้ราคาหุ้นสะท้อนมูลค่าที่แท้จริงได้อย่างเหมาะสม อันเป็นประโยชน์ต่อผู้ถือหุ้นโดยรวม อีกทั้งเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัทให้เกิดประโยชน์และมีประสิทธิภาพจากสถานะการเงินที่แข็งแกร่งในปัจจุบัน ภายใต้ภาพรวมธุรกิจที่เติบโตได้อย่างต่อเนื่อง

สำหรับการดำเนินการซื้อหุ้นคืนในปีที่ 2 และ 3 จะขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ ในขณะนั้น รวมถึงไม่จำกัดเพียงสภาพคล่องส่วนเกินของบริษัท จำนวนหนี้ที่ถึงกำหนดชำระภายใน 6 เดือน นับแต่วันที่จะเริ่มซื้อหุ้นคืนในปีนั้น ๆ โดยคณะกรรมการบริษัทจะพิจารณารายละเอียดของการซื้อหุ้นคืนในแต่ละครั้งต่อไป

โดย ณ วันที่ 30 กันยายน 2568 บริษัทมีเงินสดคงเหลือ 1,848 ล้านบาท หากพิจารณาสภาพคล่องของบริษัทฯ ในปัจจุบันประกอบกับแนวโน้มกระแสเงินสดรับในอนาคต บริษัทจะมีสภาพคล่องส่วนเกินเพียงพอในการชำระหนี้ที่ถึงกำหนดภายใน 6 เดือนนับแต่วันที่จะซื้อหุ้นคืน และมีกระแสเงินสดเพียงพอที่จะนำมาซื้อหุ้นคืนตามโครงการนี้ จำนวนผู้ถือหุ้นสามัญรายย่อย (Free float) ณ วันปิดสมุดทะเบียนพักการโอนหุ้น หรือวันที่คณะกรรมการกำหนดเพื่อกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นล่าสุด เมื่อวันที่ 1 กันยายน 2568 เท่ากับ 39.73% ของทุนชำระแล้วของบริษัท

ด้านนางสาวภัทร์ภูรี ชินกุลกิจนิวัฒน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารการเงินและรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มงานบัญชีและการเงิน BCP กล่าวว่า ทิศทางการดำเนินงานในไตรมาส 4/2568 สำหรับกลุ่มธุรกิจการตลาด ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลการเดินทาง คาดวอลุ่มเพิ่มขึ้น 2-3% ส่วนกลุ่มธุรกิจไฟฟ้าพลังงานสะอาด คาดว่าโรงไฟฟ้าพลังงานก๊าซธรรมชาติในประเทศสหรัฐอเมริกา ยังคงเป็นตัวขับเคลื่อนการเติบโต ทั้งในช่วงครึ่งหลังของปีนี้ จนไปถึงปี 2569-2570

สำหรับแผนขยายจำนวนสถานีบริการน้ำมันบางจากในปีนี้ ตั้งเป้าเพิ่มขึ้น 50 แห่ง หรือมากกว่า 2,200 แห่งภายในสิ้นปีนี้ ในทำเลที่มีศักยภาพ โดยงวด 9 เดือนของปีนี้มีจำนวนสถานีบิการน้ำมันบางจากรวม 2,173 แห่ง และปัจจุบันมีส่วนแบ่งการตลาดน้ำมัน (Market Share) อยู่ที่ 29% ขณะที่ร้านอินทนิล มีการขยายสาขาเพิ่มเติมในปีนี้ 180 สาขา คาดสิ้นปีอยู่ที่กว่า 1,200 สาขา โดย ณ ไตรมาส 3/2568 อยู่ที่ 1,108 สาขา

ส่วน OKEA ASA (OKEA) ซึ่งเป็นบริษัทย่อย ปัจจุบันมีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น ดังนั้นจึงได้ปรับกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น จากเดิมปีนี้ที่คาดว่าจะอยู่ที่ 30,000-32,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน เพิ่มขึ้นเป็น 32,000-33,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน และในปี 2569 จากเดิมคาดว่าจะอยู่ที่ 26,000-30,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน ปรับเพิ่มขึ้นเป็น 31,000-35,000 บาร์เรลเทียบเท่าน้ำมันดิบต่อวัน โดยล่าสุดการค้นพบน้ำมันในหลุมสำรวจ Talisker ณ แหล่ง Brage (PL 055) ประเทศนอร์เวย์ สำหรับการค้นพบครั้งนี้สะท้อนถึงกลยุทธ์ Organic Growth ของ OKEA ที่มุ่งต่อยอดการผลิตจากแหล่งปิโตรเลียมในพื้นที่ใกล้เคียงกับโครงสร้างพื้นฐานเดิม

บริษัทหลักทรัพย์ กรุงศรี จำกัด (มหาชน) มองบวกต่อโครงการซื้อหุ้นคืนของ BCP โดยคาดว่าระยะสั้นจะมีแรงหนุนราคาหุ้นจากวงเงินซื้อคืนในปีแรกราว 1,100 ล้านบาท สะท้อนว่าราคาซื้อคืนสูงสุดอาจอยู่ที่ประมาณ 37 บาทต่อหุ้น และช่วยเพิ่มกำไรต่อหุ้น (EPS) ให้ผู้ถือหุ้น มองว่า BCP มีสภาพคล่องเพียงพอ โดย ณ ไตรมาส 3/2568 มีเงินสดงบการเงินเฉพาะกิจการ 1.8 พันล้านบาท และเงินสดงบการเงินรวม 2.7 หมื่นล้านบาท

พร้อมคงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้น BCP ราคาเป้าหมาย 44 บาทต่อหุ้น โดยประเมินว่าธุรกิจโรงกลั่นอยู่ในช่วงฟื้นตัวตามอัตรากำไร คาดว่าประสิทธิภาพจะดีขึ้นหลังการอัพเกรดหอกลั่นและโรงงาน อีกทั้งได้รับแรงหนุนจากภาวะน้ำมันตึงตัวที่ช่วยผลักดันค่าการกลั่น ธุรกิจการตลาดมีแนวโน้มที่ดีขึ้น อัตราค่าการตลาดฟื้นตัว และยอดขายในกลุ่มลูกค้าเชิงพาณิชย์เติบโตจากการขายน้ำมันเดินเรือ ขณะเดียวกัน ธุรกิจโรงไฟฟ้าได้แรงหนุนจากค่าไฟฟ้าในสหรัฐฯ และรับรู้รายได้จากโรงไฟฟ้า Monsoon ใน สปป.ลาว เต็มปี ส่วน OKEA ASA (OKEA) บริษัทย่อยของบางจากมีโอกาสเติบโตเพิ่มเติมจากการควบรวมกิจการ โดยปัจจุบันมีเงินสดคิดเป็น 20% ของสินทรัพย์รวม

บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ จำกัด ให้มุมมองเชิงบวกต่อการซื้อหุ้นคืนครั้งนี้ โดยมองว่าสะท้อนราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง ขณะนี้บริษัทมีอัตราส่วนราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/BV) ที่ 0.66 เท่า ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต การซื้อหุ้นคืนช่วยเพิ่มผลตอบแทนต่อผู้ถือหุ้น (ROE) และกำไรต่อหุ้น (EPS) อีกทั้งบริษัทยังมีฐานะการเงินแข็งแกร่ง มีกำไรสะสมกว่า 31,044 ล้านบาท และเงินสด/สินทรัพย์สภาพคล่องมากกว่า 2,521 ล้านบาท การนำเงินสดส่วนเกินไปซื้อหุ้นคืนสะท้อนความเชื่อมั่นต่อกำไรและกระแสเงินสดในอนาคต คงคำแนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ราคาเป้าหมาย 37.25 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ ดาโอ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) แนะนำ “ซื้อ” หุ้น BCP ราคาเป้าหมาย 34.00 บาท โดยบริษัทประกาศแผนซื้อหุ้นคืนระยะเวลา 3 ปี วงเงินรวมไม่เกิน 3.8 พันล้านบาท ดาโอมีมุมมองบวก โดยคาดว่าราคาสูงสุดที่บริษัทอาจใช้ซื้อหุ้นคืนในปีแรกจะไม่เกิน 37.29 บาทต่อหุ้น (เพิ่มขึ้นราว 33% จากราคาปิดล่าสุด)

โดยคงประมาณการกำไรปกติปี 2568 และปี 2569 ที่ 5,400 ล้านบาท และ 6,400 ล้านบาท ตามลำดับ เทียบกับขาดทุน 802 ล้านบาทในปี 2567 และคาดว่าบริษัทจะได้ประโยชน์จากส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์น้ำมันและราคาน้ำมันดิบ (Crack Spread) ที่แข็งแกร่งในไตรมาส 4/2568 คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2569 ที่ 34.00 บาท

บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) มองเชิงบวกต่อการประกาศซื้อหุ้นคืน เนื่องจากเป็นการบริหารสภาพคล่องส่วนเกินอย่างมีประสิทธิภาพ ช่วยเพิ่มอัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้นและกำไรสุทธิต่อหุ้น โดยประเมินว่าเม็ดเงินซื้อหุ้นคืนเฟสแรกอาจให้ผลบวกต่อราคาหุ้นราว 1-2% สะท้อนว่าผู้บริหารมองมูลค่าที่แท้จริงของบริษัทสูงกว่าราคาตลาด

โดยคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 47 บาท และยังมีอัพไซด์จากโครงการซื้อหุ้นคืนเพิ่มเติม อย่างไรก็ตามระยะสั้นแนะนำเก็งกำไรตามแรงหนุนซื้อหุ้นคืนก่อน เนื่องจากราคาน้ำมันโลกถูกกดดันจากอุปทานที่ผ่อนคลายจากสถานการณ์สงครามรัสเซีย-ยูเครน

บริษัทหลักทรัพย์ กสิกรไทย จำกัด (มหาชน) ให้มุมมองว่าโครงการซื้อหุ้นคืนของ BCP ส่งผลบวกในเชิงบรรยากาศการลงทุนแม้ว่าจะไม่มากนัก โดยการซื้อหุ้นคืนเฟสแรกคิดเป็น 2% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดหลังเพิกถอนหุ้น BSRC คิดเป็นราคาซื้อเฉลี่ยประมาณ 37 บาทต่อหุ้น และเฉลี่ยการซื้อวันละ 227,000 หุ้น คิดเป็น 3% ของมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันของปี 2568 โดยมองว่าการซื้อหุ้นคืนอย่างต่อเนื่องเป็นการบริหารเงินสดที่ดี และช่วยยกระดับผลตอบแทนผู้ถือหุ้นในระยะยาว คงคำแนะนำ “Outperform” ราคาเป้าหมาย 34.40 บาท

Back to top button