AOT ไฟเขียวแก้สัญญาดิวตี้ฟรี 5 สนามบิน คงรายได้-เพิ่มส่วนแบ่ง KPD

AOT มีมติเห็นชอบผลการเจรจากับคิง เพาเวอร์ เพื่อแก้ไขสัญญาดิวตี้ฟรีใน 5 สนามบิน โดยคงค่าตอบแทนขั้นต่ำ เพิ่มส่วนแบ่งรายได้ และขยายสัญญาบางแห่ง รองรับแผนพัฒนาท่าอากาศยานและรักษาความต่อเนื่องของธุรกิจ พร้อมคุ้มครองรายได้ของทอท.ในระยะยาว


บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยว่า บริษัทฯ ได้รายงานผลการประชุมคณะกรรมการ ทอท. ครั้งที่ 16/2568 เมื่อวันที่ 29 ตุลาคม 2568 ซึ่งที่ประชุมมีมติให้ความเห็นชอบแนวทางการแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรในท่าอากาศยานที่อยู่ในความรับผิดชอบของ ทอท. โดยอ้างอิงผลการศึกษาของที่ปรึกษาเกี่ยวกับทางเลือกในการแก้ไขปัญหาดังกล่าว

ภายหลังบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) ได้มีหนังสือขอหารือแนวทางการแก้ไขปัญหา พร้อมมอบหมายให้ฝ่ายบริหาร ทอท. นำผลการศึกษาเป็นกรอบในการเจรจากับ KPD เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุดต่อ ทอท. และเป็นธรรมต่อคู่สัญญา พร้อมทั้งให้เสนอผลการเจรจาให้คณะกรรมการพิจารณาต่อไป

ต่อมา ในการประชุมคณะกรรมการ ทอท. ครั้งที่ 18/2568 เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2568 ณ ห้องประชุมคณะกรรมการ ทอท. ชั้น 7 อาคารสำนักงานใหญ่ ทอท. ที่ประชุมมีมติเห็นชอบผลการเจรจาเพื่อกำหนดแนวทางแก้ไขปัญหาการประกอบกิจการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรในท่าอากาศยานทั้ง 5 แห่ง ได้แก่ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.) ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.) ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) ท่าอากาศยานเชียงใหม่ (ทชม.) และท่าอากาศยานหาดใหญ่ (ทหญ.) รวมถึงอนุมัติให้มีการแก้ไขสัญญาอนุญาตประกอบกิจการสินค้าปลอดอากรในท่าอากาศยานตามผลการเจรจาดังกล่าว

ทอท.ระบุว่า จากการพิจารณาทางเลือกหลัก 2 แนวทาง ได้แก่ การแก้ไขสัญญาเปรียบเทียบกับการยกเลิกสัญญาเพื่อเปิดประมูลใหม่ พบว่าแนวทางการแก้ไขสัญญาเหมาะสมที่สุด เนื่องจากสามารถรักษาความต่อเนื่องในการให้บริการผู้โดยสาร รักษาผลประโยชน์ของ ทอท.ในระยะยาว และลดผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจ โดยพิจารณาจากปัจจัยสำคัญ ได้แก่

ความต่อเนื่องทางธุรกิจ ทอท.ยังคงสามารถให้บริการผู้โดยสารได้โดยไม่สะดุด และไม่ต้องใช้เวลาและงบประมาณในการหาผู้ประกอบการรายใหม่ ซึ่งอาจใช้เวลามากกว่า 14 เดือน

ความมั่นคงด้านรายได้ ทอท.ยังคงได้รับค่าผลประโยชน์ตอบแทนอย่างต่อเนื่องโดยไม่เกิดช่วงว่างระหว่างการประมูลรายใหม่

ความคุ้มค่าทางการเงิน ผลการศึกษาชี้ว่าแนวทางแก้ไขสัญญาให้ผลตอบแทนสูงกว่า หรือไม่น้อยกว่าข้อเสนอของผู้ยื่นเสนอราคาลำดับสองในครั้งก่อน

ลดผลกระทบต่อเศรษฐกิจ การยกเลิกสัญญาอาจทำให้รายได้ลดลงและกระทบการจ้างงานของผู้ประกอบการในระบบ รวมถึงลดคุณภาพการให้บริการ (Level of Service)

นอกจากนี้ ทอท.ชี้ว่า หากมีการยกเลิกสัญญาและเปิดประมูลใหม่ อาจต้องเผชิญความเสี่ยงรายได้หายไม่ต่ำกว่า 14 เดือน ขณะเดียวกันผู้ประกอบการรายใหม่อาจไม่สามารถเสนอผลตอบแทนได้ในระดับเทียบเท่าผู้ประกอบการปัจจุบัน ทอท.จึงคงเงื่อนไขสำคัญ ได้แก่ การเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนขั้นต่ำ (Minimum Guarantee: MG) ที่มีอัตราเติบโต 5% ต่อปี ส่วนแบ่งรายได้ (Revenue Sharing) 20% และค่าผลประโยชน์ตอบแทนส่วนเพิ่ม (Upside) เมื่อเข้าเงื่อนไขตามที่กำหนด

สำหรับแนวทางการแก้ไขในแต่ละท่าอากาศยาน สรุปได้ดังนี้

1.)ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ (ทสภ.)
คงการเก็บ MG ตามจำนวนผู้โดยสาร (ปีละ 232.90 บาทต่อคน ปรับเพิ่ม 5% ต่อปี) เพิ่มส่วนแบ่งรายได้อีก 35% ของ Spending per Head ส่วนเกิน และขยายอายุสัญญาเพิ่ม 2 ปี เพื่อรองรับการก่อสร้าง South Terminal และการซ่อมแซมพื้นที่ระหว่างปี 2575–2578

2.)ท่าอากาศยานดอนเมือง (ทดม.)
คงการเก็บ MG ต่อตารางเมตร (39,187.76 บาท/ตร.ม./เดือน) และ Revenue Sharing 20% พร้อมขยายอายุสัญญาอีก 2 ปี เพื่อให้เหมาะสมต่อการย้ายการให้บริการไปอาคารผู้โดยสาร 3 หากการก่อสร้างล่าช้าจนเหลืออายุสัญญาน้อยกว่า 1 ปี ทอท.สงวนสิทธิ์พิจารณายกเลิกสัญญาเพื่อเปิดประมูลใหม่

3.)ท่าอากาศยานภูเก็ต (ทภก.) เชียงใหม่ (ทชม.) และหาดใหญ่ (ทหญ.)
คงการเก็บ MG ตามจำนวนผู้โดยสาร (129.67 บาทต่อคน เติบโต 5% ต่อปี ตั้งแต่ปี 2573) พร้อมเพิ่มส่วนแบ่งรายได้อีก 35% ของ Spending per Head ส่วนเกิน เช่นเดียวกับทสภ. และรักษาระดับส่วนแบ่งรายได้ขั้นต่ำที่ 20% ตามสัญญาเดิม

ท้ายสุด ทอท.ระบุว่า หากธุรกิจฟื้นตัวตาม Proposal ที่ KPD เคยเสนอ ทอท.สงวนสิทธิ์เรียกเก็บค่าผลประโยชน์ตอบแทนตามข้อเสนอเดิมของ KPD ได้ในอนาคต

Back to top button