
AOT ตั้งเป้าค่า PSC ขาออกโต 6% ปีหน้า เตรียมแก้กฎหมายเก็บ “transit transfer”
AOT ปรับโครงสร้างรายได้ครั้งใหญ่ ขึ้นค่า “PSC” ผู้โดยสารขาออก คาดเติบโต 6% ปีหน้า พร้อมวางแผนแก้กฎหมายเก็บค่า “transit transfer” มุ่งสู่ฮับการบิน
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นางสาวปวีณา จริยฐิติพงศ์ รองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายวิศวกรรมและการก่อสร้าง และรักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ AOT กล่าวในรายการ “ข่าวหุ้นเจาะตลาด” วันนี้ (8 ธ.ค. 2568) ถึงการปรับโครงสร้างรายได้ครั้งใหญ่ของ AOT
สืบเนื่องจากมติของคณะกรรมการการบินพลเรือนแห่งประเทศไทย (กบร.) เมื่อวันที่ 3 ธันวาคม 2568 ที่อนุมัติการปรับขึ้น ค่าบริการผู้โดยสารขาออกระหว่างประเทศ (Passenger Service Charge: PSC) เพิ่มขึ้นเป็น 1,120 บาทต่อคน จากอัตราปัจจุบันที่ 730 บาท คาดว่าจะมีผลในอีก 4 เดือนหลังรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมลงนาม
นางสาวปวีณา กล่าวว่า การปรับขึ้นค่า PSC ขาออกครั้งนี้จะช่วยเสริมรายได้จากธุรกิจการบิน ซึ่งเป็นรายได้หลักของ AOT โดยการบริหารธุรกิจสนามบินของโลกนั้น รายได้หลักควรมาจากการบิน (Aero Revenue) ซึ่งประกอบด้วยค่าดำเนินการการบินและบริการที่เกี่ยวข้องกับผู้โดยสาร ควรที่จะมีสัดส่วนมากกว่า Non-Aero ที่เป็นธุรกิจเชิงพาณิชย์ต่าง ๆ
นางสาวปวีณา ย้ำว่า AOT จำเป็นต้องพึ่งพารายได้จาก Aero เพื่อให้การประกอบกิจการสนามบินมั่นคง หากยังพึ่งพารายได้จาก Non-Aero มากเกินไป จะทำให้การดำเนินงานไม่มั่นคง ซึ่งค่าเฉลี่ยทั่วโลกอยู่ที่กว่า 60% ของรายได้จาก Aero และประมาณ 30% จาก Non-Aero ซึ่งเป็นเป้าหมายที่ AOT ตั้งไว้เช่นกัน
นอกจากนี้ นางสาวปวีณา กล่าวว่า การเก็บค่าบริการ PSC แบ่งเป็น 3 ส่วน คือ ขาออก ขาเข้า และต่อเครื่อง (transit transfer) โดยสนามบินทั่วโลกจะเก็บอย่างน้อย 2 ส่วน เช่น ขาออกและ transit transfer ประมาณ 90% ส่วนที่เก็บทั้ง 3 ส่วนมีประมาณ 10% แต่ในประเทศไทยที่ผ่านมา AOT เก็บเฉพาะขาออกเท่านั้น
AOT มีความพยายามที่จะทำให้โครงสร้างการเก็บเงินเป็นไปตามมาตรฐานสากล และในอนาคต AOT วางแผนที่จะขอแก้ไขพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ทางเดินอากาศ เพื่อรองรับการเก็บค่า transit transfer จากผู้โดยสารที่เปลี่ยนเครื่องที่ไทย ซึ่งจะช่วยให้ PSC ขาออกไม่ปรับขึ้นมากเกินไป โดยค่า transit transfer นั้นคิดเป็น 7% ของผู้โดยสารทั้งระบบ
นอกจากนี้ AOT จะเก็บค่าจอดและค่าขึ้นลงเครื่องบิน (Landing Parking) แยกออกจากค่า PSC เพื่อทำให้โครงสร้างการลงทุนในส่วนแอร์ไซด์ (Airside) สมดุลมากขึ้น
นางสาวปวีณา กล่าวเพิ่มเติมว่า ค่า PSC ที่เพิ่มขึ้น 390 บาทรวมอยู่ในราคาตั๋วโดยสารและจะส่งผลกระทบกับราคาตั๋วเพียงประมาณ 1.5% เท่านั้น โดยการปรับขึ้นค่า PSC ขาออก จะเก็บจากผู้โดยสารต่างชาติประมาณ 86% ของจำนวนผู้โดยสารทั้งหมด ซึ่งค่า PSC ที่ได้รับจะนำไปพัฒนาสนามบินและไม่ได้ใช้ในการจ่ายโบนัสพนักงาน จุดนี้จะช่วยให้สนามบินเติบโตได้อย่างยั่งยืนและมีการพัฒนาที่ถูกต้อง
สำหรับปี 2567 มีผู้โดยสารเที่ยวบินระหว่างประเทศจำนวน 34 ล้านคน โดยเป็นผู้โดยสารต่างชาติกว่า 29 ล้านคน ส่วนเที่ยวบินภายในประเทศ 25 ล้านคน ซึ่งไม่มีการปรับค่า PSC แต่อย่างใด ทำให้เป้าหมายของการเติบโตของ PSC ปีหน้าอยู่ที่ประมาณ 6%
ชี้แจงแก้สัญญา “ดิวตี้ฟรี”
นอกจากนี้ นางสาวปวีณา กล่าวถึงการแก้สัญญาการจำหน่ายสินค้าปลอดอากรกับบริษัท คิง เพาเวอร์ ดิวตี้ฟรี จำกัด (KPD) ซึ่งตัวเลขในสัญญาที่มีการเสนอใน Proposal จำนวน 15,000 ล้านบาท เป็น minimum guarantee ที่เสนอในตอนแรก แต่ในความเป็นจริงแล้ว AOT ไม่เคยได้รับตามตัวเลขนี้
นางสาวปวีณา กล่าวเพิ่มเติมว่า ตั้งแต่เริ่มสัญญา ตัวเลขนี้ไม่เคยถูกใช้มาก่อน เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 เกิดขึ้นก่อนเริ่มสัญญา ในปี 2562 จำนวนผู้โดยสารที่สนามบินสุวรรณภูมิอยู่ที่ 66 ล้านคน คณะกรรมการ AOT จึงได้ปรับการคำนวณเป็นการคิดตาม Sharing Per Head ที่ 233 บาท ขณะที่ปัจจุบันจำนวนผู้โดยสารที่มาสนามบินสุวรรณภูมิยังไม่ถึงตัวเลขในปี 2562 อย่างไรก็ตาม ยอดขาย 20% จะถูกเปรียบเทียบกับ minimum guarantee หากตัวใดสูงกว่า AOT จะเรียกเก็บส่วนนั้น

