FPI-ECF ยกเลิก 4 บริษัทร่วมทุน หลังพลาดประมูลโรงไฟฟ้าชีวมวลภาคใต้

FPI-ECF ยกเลิก 4 บริษัทร่วมทุน หลังพลาดประมูลโรงไฟฟ้าชีวมวลภาคใต้ เผยบอร์ดไฟเขียวตั้งบริษัทร่วมทุนใหม่ “เชฟ เอนเนอร์จี โฮลดิ้งส์” เพื่อลงทุนโรงไฟฟ้าชีวมวลใน Q1/60


บริษัท ฟอร์จูน พาร์ท อินดัสตรี้ จำกัด (มหาชน) หรือ FPI และบริษัท อีสต์โคสท์เฟอร์นิเทค จำกัด (มหาชน) หรือ ECF ระบุว่า ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท อนุมัติให้ยกเลิกการเข้าลงทุนในบริษัทร่วมทุน 4 บริษัท ได้แก่ บริษัท เซฟ เอนเนอร์จี กรุ๊ป (นราธิวาส 1) โดย FPI ถือหุ้น 25% และกลุ่ม ECF ถือหุ้น 25%,บริษัท เซฟ เอนเนอร์จี กรุ๊ป (ยะลา 1) จำกัด โดย FPI ถือหุ้น 20% และกลุ่ม ECF ถือหุ้น 20% ,บริษัท เซฟ เอนเนอร์จี กรุ๊ป (ปัตตานี) จำกัด โดย FPI ถือหุ้น 25% และกลุ่ม ECF ถือหุ้น 25% และบริษัท เซฟ เอนเนอร์จี กรุ๊ป (สงขลา) จำกัด โดย FPI ถือหุ้น 25% และกลุ่ม ECF ถือหุ้น 25%

ทั้งนี้เนื่องจาก 4 บริษัทร่วมทุนดังกล่าวไม่สามารถชนะการประมูลเพื่อเสนอเข้ารับคัดเลือกเป็นผู้จำหน่ายไฟฟ้าในสัญญาซื้อขายไฟฟ้า (PPA) ตามประกาศรายละเอียดหลักเกณฑ์การรับซื้อไฟฟ้าจากผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียนด้วยวิธีการคัดเลือกโดยการแข่งขันทางด้านราคา (Competitive Bidding) ระยะที่ 1 สำหรับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ และ 4 อำเภอในจังหวัดสงขลา

นอกจากนี้คณะกรรมการทั้งสองบริษัท ยังอนุมัติยกเลิกมติอนุมัติการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท เซฟ เอนเนอร์จี กรุ๊ป (นราธิวาส 2) จำกัด ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการบริษัท เมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 2558 ที่ผ่านมา เนื่องจากมติดังกล่าวไม่ได้ถูกนำไปใช้ในการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทแต่อย่างใด

รวมทั้งที่ประชุมคณะกรรมการของทั้งสองบริษัท อนุมัติให้ตั้งบริษัทร่วมทุนแห่งใหม่ร่วมกัน ภายใต้ชื่อบริษัท เชฟ เอนเนอร์จี โฮลดิ้งส์ จำกัด เพื่อเข้าลงทุนในธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานชีวมวล ภายในไตรมาส 1/60 โดย FPI จะถือหุ้น 49.98% ขณะที่บริษัท อีซีเอฟ โฮลดิ้งส์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ ECF ถือหุ้น 49.98% โดยการลงทุนจัดตั้งบริษัทร่วมทุนดังกล่าวจะเป็นช่องทางที่ช่วยสร้างการเติบโตให้กับธุรกิจของบริษัท และเป็นการกระจายความเสี่ยงจากการดำเนินธุรกิจหลักเพียงอย่างเดียว

อย่างไรก็ตาม การจดทะเบียนจัดตั้งบริษัทร่วมทุนดังกล่าวเป็นเพียงการเตรียมการเพื่อเข้าลงทุนในโครงการที่บริษัท จะพิจารณาตัดสินใจต่อไป ซึ่งยังมีความไม่แน่นอนถึงมูลค่าเงินลงทุน ดังนั้น ภายหลังจากทราบมูลค่าเงินลงทุนในแต่ละโครงการเป็นที่แน่ชัดแล้ว ทางบริษัท จะต้องแจ้งข้อมูลต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย รวมถึงการปฏิบัติตามหลักเกณฑ์การได้มาซึ่งทรัพย์สินต่อไป

 

Back to top button