SNC บวก 3.59% นิวไฮในรอบ 1 ปี 11 เดือน รับช่วง High Season

SNC บวก 3.59% นิวไฮในรอบ 1 ปี 11 เดือน รับช่วง High Season ล่าสุด ณ เวลา 15.07 น. ราคาอยู่ที่ 17.30 บาท บวก 0.60 บาท หรือ 3.59% สูงสุดที่ 17.50 บาท ต่ำสุดที่ 16.70 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 273.25 ล้านบาท โบรกฯ แนะ “ซื้อ” ชูเป้า 20 บาท คาดกำไรปีนี้โตแกร่ง – ธุรกิจพลังงานเสริมความมั่นคงบริษัท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท เอส เอ็น ซี ฟอร์เมอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ SNC ณ เวลา 15.07 น. ราคาอยู่ที่ 17.30 บาท บวก 0.60 บาท หรือ 3.59% สูงสุดที่ 17.50 บาท ต่ำสุดที่ 16.70 บาท มูลค่าซื้อขายที่ 273.25 ล้านบาท โดยราคาหุ้นปรับตัวสูงสุดในรอบ 1 ปี 11 เดือน ตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 15.50 บาท เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2558

นายสามิตต์ ผลิตกรรม กรรมการผู้จัดการ SNC เปิดเผยว่า บริษัทคาดว่าผลประกอบการ ทั้งในแง่รายได้และกำไรสุทธิปีนี้จะดีกว่าปีก่อนแน่นอน ซึ่งปัจจุบันมีคำสั่งซื้อเข้ามาค่อนข้างมาก โดยเฉพาะชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้าที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ขณะคำสั่งซื้อชิ้นส่วนของเครื่องปรับอากาศที่ใช้สำหรับยานพาหนะ และเครื่องทำความเย็น ก็มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่องเช่นกัน นอกจากนี้อุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ก็มีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง ตามอุตสาหกรรมยานยนต์ ที่ปีนี้คาดว่าจะฟื้นตัวขึ้น

ขณะที่ในช่วงไตรมาส 2/60 จะเริ่มมีการผลิตไฟฟ้าจากโซลาร์รูฟท็อป ซึ่งจะนำไฟฟ้ามาใช้ในโรงงาน 1 เมกะวัตต์ จากกำลังการผลิตทั้งหมด 3.4 เมกะวัตต์ โดยส่วนที่เหลือจะขายให้กับการไฟฟ้าฯนั้น จะช่วยประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้กว่า 10 ล้านบาท/ปี

รวมถึงผลการดำเนินงานบริษัทย่อย คือ บริษัท เอส เอ็น ซี ครีเอติวิตี้ แอนโทโลจี (SCAN) , บริษัท เอส เอส เอ็ม ออโต้เมชั่น จำกัด (SSMA) ,บริษัท เมอิโซะ เอสเอ็นซี พรีซิชั่น (MSPC) , บริษัท เอส เอ็น ซี ฟุกุอิ โฮลี อินซูเลชั่น (SFHI) ได้มีการปรับโครงสร้างภายในให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ทำให้ปีนี้จึงจะไม่ได้รับผลกระทบจากผลขาดทุนจากบริษัทย่อยอีก

“ด้วยการปรับโครงสร้างของบริษัทย่อย ทำให้ผลกระทบจากบริษัทย่อยไม่มีอีก และการใช้พลังงานไฟฟ้าจากโซลาร์รูฟท็อป จะช่วยให้บริษัทสามารถประหยัดค่าใช้จ่ายด้านพลังงานได้กว่า 10 ล้านบาทต่อปี ในขณะเดียวกันธุรกิจของเราทั้งด้านชิ้นส่วนยานยนต์ ชิ้นส่วนเครื่องใช้ไฟฟ้า และชิ้นส่วนเครื่องปรับอากาศจะมีการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จึงมั่นใจว่าผลประกอบการทั้งในแง่รายได้และกำไรจะเติบโตได้อย่างต่อเนื่องจากปี 59″นายสามิตต์ กล่าว

นายสามิตต์ กล่าวเพิ่มเติมว่า บริษัทตั้งงบลงทุนไว้ราว 300-400 ล้านบาท เพื่อใช้สำหรับปรับปรุงเครื่องจักรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นและเพิ่มกำลังการผลิตเพื่อรองรับความต้องการของลูกค้า ทั้งในและต่างประเทศ

นอกจากนี้ บริษัทเตรียมความพร้อมเพื่อที่จะลงทุนในโครงการโรงไฟฟ้าจากพลังงานขยะ โดยเป็นการร่วมลงทุนกับพันธมิตรท้องถิ่น ในจังหวัดระยอง กำลังการผลิตราว 3 เมกะวัตต์ โดยปัจจุบันอยู่ระหว่างขอรอความชัดเจนจากภาครัฐในเรื่องของสัญญาซื้อขาย (PPA) โดยเบื้องต้นวางงบลงทุนไว้ 240 ล้านบาท ขณะที่คาดว่าโครงการจะได้ผลตอบแทนจากการลงทุน (IRR) ในระดับ 20% และคาดว่าภายใน 5 ปีจะสามารถคืนทุนได้ทั้งหมด

 

ด้านบล.ฟินันเซีย ไซรัส แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 20 บาท/หุ้น โดยฝ่ายวิจัยคาดกำไรสุทธิปี 2560 จะกลับมาเติบโตแข็งแกร่ง 18.8% จากปีก่อน โดยได้รับอานิสงส์บวกจากการย้ายโรงงานมารวมกันที่จังหวัดระยอง ซึ่งทำให้มีโอกาสได้ลูกค้าเพิ่มเติมจากการเป็น One Stop Service รวมถึงประสิทธิภาพในการผลิตและการควบคุมต้นทุนที่ดีขึ้น

ขณะที่การก้าวสู่ธุรกิจพลังงานทดแทนฝ่ายวิจัยมองว่าจะช่วยเสริมความมั่นคงในแง่การดำเนินงานระยะยาว แต่ฝ่ายวิจัยยังไม่ได้รวมโครงการดังกล่าวไว้ในประมาณการ จึงปรับลดราคาเหมาะสมลงเหลือ 20 บาท ขณะที่ Dividend Yield คาดยังสูงกว่า 6% ต่อปี ขณะที่ธุรกิจกำลังอยู่ในช่วง High Season จึงยังคงคำแนะนำ “ซื้อ”

Back to top button