LHK วางงบลงทุนปีนี้ 50 ลบ. ศึกษาลงทุนธุรกิจยานยนต์

LHK คาดรายได้งวดปี 60/61 (เม.ย.60-มี.ค.61) โต 10% ตามการเติบโตอุตสาหกรรมยานยนต์-ก่อสร้าง พร้อมวางงบลงทุนปีนี้ 50 ลบ. เพื่อปรับปรุง-ซื้อเครื่องจักร เผยอยู่ระหว่างศึกษาลงทุนเข้าซื้อกิจการธุรกิจยานยนต์


นายอนันต์ มนัสชินอภิสิทธิ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท โลหะกิจ เม็ททอล จำกัด (มหาชน) หรือ LHK เปิดเผยว่า บริษัทวางงบลงทุนปีนี้ไว้ราว 40-50 ล้านบาท เพื่อใช้ในการปรับปรุงเครื่องจักรและซื้อเครื่องจักร ขณะที่แผนการเข้าซื้อกิจการ ปัจจุบันยังอยู่ระหว่างศึกษาเพื่อลงทุนเข้าซื้อกิจการในธุรกิจยานยนต์ แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียดได้ โดยปัจจุบันบริษัทมีกระแสเงินสดในมืออยู่ที่ 237 ล้านบาท ซึ่งมีความพร้อมในการลงทุน

ขณะที่บริษัทคาดรายได้งวดปี 60/61 (เม.ย.60-มี.ค.61) จะเติบโตได้ราว 5-10% จากปีก่อนมีรายได้อยู่ที่ 3,227.71 ล้านบาท เป็นไปตามการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ ,อุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า และอุตสาหกรรมก่อสร้าง ซึ่งบริษัทมีสัดส่วนรายได้รวมกันสูงถึง 70% ขณะที่จะยังคงรักษาระดับอัตรากำไรขั้นต้นปีนี้เติบโตเป็นตัวเลขสองหลัก จากปีก่อนอยู่ที่ระดับ 13.32% จากการเพิ่มประสิทธิภาพเครื่องจักร และการควบคุมต้นทุน

ทั้งนี้แม้ว่าแนวโน้มผลการดำเนินงานในไตรมาส 1 งวดปี 60/61 จะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 4 งวดปี 59/60 จากเป็นช่วงของโลว์ซีซั่นของธุรกิจ แต่หลังจากนั้นคาดว่าจะทยอยปรับตัวเพิ่มขึ้นในไตรมาส 2 เป็นต้นไป โดยไตรมาส 4 จะเป็นช่วงของไฮซีซั่น

โดยมองว่าอุตสาหกรรมยานยนต์ในปีนี้จะมียอดการผลิตรถยนต์อยู่ที่ 2 ล้านคัน เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่อยู่ที่ 1.9 ล้านคัน โดยแบ่งเป็นการผลิตเพื่อส่งออกประมาณ 1.2 ล้านคัน และผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศ 8 แสนคัน เนื่องจากปัจจัยลบที่กระทบกำลังซื้อหลายอย่างเริ่มคลี่คลาย ทั้งจากภาวะเศรษฐกิจ และราคาสินค้าเกษตร เป็นผลจากการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐในการเดินหน้าโครงการก่อสร้างสาธารณูปโภคต่างๆ

ขณะที่ในปี 63 ประเทศไทยตั้งเป้าจะสามารถผลิตรถยนต์ได้ถึง 3 ล้านคัน จากการผลักดันอุตสาหกรรมให้เป็นฐานการผลิตและส่งออกชิ้นส่วน พร้อมทั้งมุ่งเน้นการสร้างมูลค่าเพิ่มจากภายในประเทศ และการขยายตลาดยานยนต์ผ่านการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ส่วนอุตสาหกรรมเครื่องใช้ไฟฟ้า ในส่วนของเครื่องปรับอากาศก็มีความต้องการจากตลาดต่างประเทศมากขึ้น โดยผู้ผลิตก็มีการขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้น เพื่อรองรับการส่งออกไปยังประเทศอินเดีย ตะวันออกกลาง และเวียดนาม ขณะที่ในประเทศยังคงชะลอตัว จากปัจจัยทางภาวะเศรษฐกิจ และปัญหาหนี้ครัวเรือนที่ยังอยู่ในระดับสูง

อีกทั้งอุตสาหกรรมก่อสร้าง น่าจะได้รับอานิสงค์จากการลงทุนภาครัฐ ซึ่งที่ผ่านมาก็ได้รับแรงขับเคลื่อนจากโครงการก่อสร้างทางหลวงพิเศษระหว่างเมือง ขณะที่ในอนาคตก็จะมีโครงการชลประทาน และโครงข่ายคมนาคมต่างๆ ที่จะเป็นตัวขับเคลื่อนในระยะต่อไป

ปีนี้เรายังคงเจาะไปกลุ่มอุตสาหกรรมในกลุ่มอลูมิเนียมมากขึ้น เพื่อเพิ่มรายได้ และเราพยายามทำ M&A มากขึ้น โดยมีความสนใจเข้าซื้อกิจการในกลุ่มยายยนต์ รวมถึงจะมีการควบคุมต้นทุนอย่างต่อเนื่อง”

Back to top button