
หุ้นโรงแรม-การบินเสี่ยงกำไรหดเผชิญมรสุม2ด้าน! สทท.หั่นเป้านักท่องเที่ยว-ต้นทุนน้ำมันพุ่ง
หุ้นโรงแรม-การบินเสี่ยงกำไรหดเผชิญมรสุม2ด้าน! สทท.หั่นเป้านักท่องเที่ยว-ต้นทุนน้ำมันพุ่ง
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการสำรวจบทวิเคราะห์เกี่ยวกับหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว ภายหลังจากสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ปรับเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 61 ลงเป็น 37.19 ล้านคน จาก 39 ล้านคน หรือลดลงจากเป้าหมายเดิม 4.6%
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์ต่างมองว่า จำนวนนักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงหลังเกิดเหตุการณ์เรือล่มภูเก็ตในเดือนก.ค.61 ที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเสียชีวิตจำนวนมากจะเป็นข่าวลบระยะสั้นกับกลุ่มสนามบิน สายการบิน และโรงแรม ทำให้อัตราการเติบโตของรายได้และกำไรจะต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ นอกจากนั้นธุรกิจสายการบินยังเจอมรสุมเรื่องราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นต่อเนื่องด้วย
โดย บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส ระบุในบทวิเคราะห์ ว่า สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ปรับเป้าหมายจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติปี 61 ลงเป็น 37.19 ล้านคน จาก 39 ล้านคน หรือลดลงจากเป้าหมายเดิม 4.6% เนื่องจากนักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงหลังเกิดเหตุการณ์เรือล่มภูเก็ตในเดือนก.ค.61 ที่มีนักท่องเที่ยวชาวจีนเสียชีวิตจำนวนมาก
โดยนักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงมากหลังเรือล่มภูเก็ต – ในเดือนส.ค.61 มีรายงานจากกระทรวงท่องเที่ยวฯว่านักท่องเที่ยวชาวจีนลดลง 11.7% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน และรายได้จากกลุ่มนี้ลดลง 7.21% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน สำหรับทั้งไตรมาส 4 ปีนี้ทางสทท.คาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติเท่ากับ 8.81 ล้านคน ลดลง 5.17% โดยในส่วนของนักท่องเที่ยวชาวจีนลดลง 25% เป็น 1.85 ล้านคน
ทั้งนี้ มองว่าประเด็นดังกล่าวเป็นข่าวลบระยะสั้นกับกลุ่มสนามบิน สายการบิน และโรงแรม โดยจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติ โดยเฉพาะจีนที่ลดลงเป็นลบต่อผลประกอบการใน 4-5 เดือนสุดท้ายของปี 61 ทำให้อัตราการเติบโตของรายได้และกำไรจะต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ นอกจากนั้นธุรกิจสายการบินยังเจอมรสุมเรื่องราคาน้ำมันที่ปรับขึ้นต่อเนื่องด้วย
อย่างไรก็ตาม เห็นว่าธุรกิจสนามบินและโรงแรมยังมีโอกาสฟื้นตัวในไตรมาส 1/2562 จากการที่ภาครัฐของไทยเร่งฟื้นฟูความสัมพันธ์เรื่องการท่องเที่ยวกับจีน ล่าสุดมีการเสนอมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่าให้นักท่องเที่ยวจีน ลดค่าธรรมเนียมด่านตรวจคนเข้าเมืองเป็นเวลา 3 เดือน ฯลฯ ซึ่งต้องติดตามกันต่อไปว่าสุดท้ายแล้วมาตรการจะเป็นอย่างไร คงคำแนะนำซื้อ AOT (ราคาพื้นฐาน 75 บาท มี Upside จากราคาปิดวานนี้ 13%), แนะนำซื้อ ERW (ราคาพื้นฐาน 10.50 บาท มี Upside 30%) และแนะนำซื้อ MINT (ราคาพื้นฐาน 46 บาท มี Upside 14%)
ด้าน บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง แนะเลี่ยงการลงทุนในกลุ่มท่องเที่ยวและสายการบิน เนื่องจากมองว่าอุตสาหกรรมท่องเที่ยวยังฟื้นตัวลำบาก
อย่างไรก็ตาม บล.บัวหลวง แนะนำ “ซื้อ” CENTEL ราคาเป้าหมาย 52 บาท/หุ้น มองว่าราคาหุ้นปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ 27% นับตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันสะท้อนผลประกอบการที่แย่กว่าตลาดคาดและการปรับปรุงโรงแรม 2 แห่ง ในปี 2562 ไปมากแล้ว โดยมูลค่าหุ้นอยู่ในระดับที่น่าลงทุนที่ PER สำหรับปี 2561 ที่ 25.7 เท่า และสำหรับปี 2562 ที่ 23.9 เท่า ซึ่งต่ำกว่าค่าเฉลี่ยระยะยาวในปี 2549-60 ที่ 29.3 อยู่มากเกินไป และเป็นระดับมูลค่าหุ้นที่ถูกที่สุดในกลุ่มท่องเที่ยว ทำให้เรายังคงคำแนะนำ =ซื้อ? ด้วยราคาเป้าหมายวิธีคิดลดเงินสด (DCF) ณ สิ้นปี 2561 ที่ 52 บาท (ปรับลดลงจาก 54 บาท เพื่อสะท้อนการปรับลดประมาณการกำไร) อ้างอิงจาก WACC ที่ 7.3% และ terminal growth rate ที่ 2.0%
ทั้งนี้ ได้ปรับลดประมาณการกำไรหลักลง 4% สำหรับปี 2561 และ 11% สำหรับปี 2562 เพื่อสะท้อนผลการดำเนินการของโรงแรมทีต่ากว่าคาด (บริษัทปรับลดเป้าหมายของการเติบโตของรายได้ต่อห้องพักที่มีให้บริการในปี 2561 จาก 3-4% มาอยู่ที่ 2-3%) และการปรับปรุงโรงแรม 2 แห่งในปี 2562 (Centara Grand Beach Resort Samui และ Central World) โดยเราปรับลดประมาณการอัตรากำไรหลักของเราลง 20bps
สำหรับปี 2561 และ 130bps สำหรับปี 2562 เนื่องจากการปรับปรุงโรงแรมจะมีผลกระทบต่ออัตรากำไรมากที่สุด อย่างไรก็ตามเราคาดว่าผลกระทบเชิงลบจากการปรับปรุงโรงแรมในปี 2562 จะไม่สูงเท่าที่ตลาดกังวล เราคาดว่าการปรับปรุงจะกระทบกำไรปี 2562 หดตัวลดลงไม่เกิน 4% เนื่องจากโรงแรม สมุยมิได้มีอัตรากำไรและผลกำไรที่สูงอย่างมีนัยสำคัญ กอปรกับการปิดปรับปรุงโรงแรม Central World นั้นเป็นการปิดบางส่วนคือคราวละ 3 ชั้น (ห้องที่ปิดปรับปรุงจะคิดเป็นเพียง 2% ของห้องพักทั้งหมดในแต่ละช่วงเวลาเท่านั้น)
โดยการฟื้นตัวของธุรกิจอาหารน่าจะช่วยลดผลกระทบระยะสั้นของผลการดำเนินงานโรงแรมได้ โดยล่าสุดผู้บริหารปรับประมาณการการเติบโตของรายได้อาหารขึ้นสำหรับปี 2561 จาก 7-8% มาอยู่ที่ 8-9% โดยเรามองว่ายอดขายสาขาเดิมของธุรกิจอาหารจะพลิกกลับมาเป็นเติบโตได้ในไตรมาส 3/61 หลังจากติดลบมาก่อนหน้า และการขยายสาขาใหม่จะช่วยกระตุ้นการเติบโตของยอดขายรวมทุกสาขา
ทั้งนี้เห็นถึงการปรับตัวที่สำคัญของธุรกิจอาหารของ CENTEL โดยมีรูปแบบร้านอาหารใหม่ ๆ เช่น Food trucks, คาเฟ่ในรูปแบบร้านอาหารแบบใหม่ ที่สำคัญ กลยุทธ์การขยายสาขาของ CENTEL ทำให้ดีโดดเด่นขึ้นมากเมื่อเทียบกับกลุ่ม ด้วยอัตราการเติบโตของยอดขายรวมทุกสาขาที่ 9.0% จากปีก่อน ในช่วงครึ่งแรกปี 2561 โดย CENTEL จะมีสาขาใหม่สุทธิเพิ่มขึ้นอีก 82 แห่งในปีนี้ เทียบกับนโยบายการปิดสาขาที่ไม่สามารถทำกำไรได้ต่อเนื่องเมื่อ 3 ปีก่อน (บริษัทตั้งเป้าหมายเปิดสาขาใหม่ 118 สาขา และปิด 36 สาขาในปี 2561, เปรียบเทียบกับปิด 61 สาขาในปี 2560, 43 สาขา ในปี 2559 และ 45 สาขา ในปี 2558) นอกจากนี้ CENTEL ยังเป็นบริษัทที่น่าจะได้รับประโยชน์สูงจากการฟื้นตัวของธุรกิจอาหารโดยเฉพาะในต่างจังหวัด เนื่องจากได้รับรายได้จากธุรกิจร้านอาหารนั้นมากจากในประเทศไทยทั้งหมด (35% ของรายได้จากอาหารในกรุงเทพฯ และ 65% จากในต่างจังหวัด)
โดย มองว่า CENTEL จะต้องเดินหน้าทำข้อตกลง M & A ในทั้งธุรกิจโรงแรมและอาหารให้สำเร็จ ในระยะสั้น เพื่อลดผลกระทบจากการปิดปรับปรุงของ Centara Grand Resort & Villas Hua Hin ในปี 2563 และเพื่อรักษาผลกำไรให้เติบโตในระยะยาว (มีเป้าหมายเพิ่มรายได้เป็นสองเท่าภายในปี 2565) โดยเป้าหมายการเข้าซื้อกิจการน่าจะเป็นสินทรัพย์ที่มีผลการดำเนินงานอยู่แล้ว เพื่อเพิ่มมูลค่าให้กับ CENTEL ได้ในทันที โดยสถานะทางการเงินที่แข็งแกร่งจะช่วยสนับสนุนการเข้าซื้อกิจการใหม่ ๆ เนื่องจากเราคาดการณ์หนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุนสุทธิต่ำสุดในรอบ 10 ปีที่ 0.4 เท่า ณ สิ้นปี 2561 ซึ่งต่ำกว่าระดับควบคุมภายในบริษัทที่ 1.3 เท่า อยู่มาก โดยการลงทุนใหม่มีนโยบายอยู่บนอัตรากผลตอบแทนการลงทุน (IRR) อยู่ในช่วง 12-15% เป็นสำคัญ