โค้งสุดท้ายปิดงบฯ Q3/61 คัด 8 หุ้นเด็ดเน้นกำไร All-time high น่าเก็บ!

โค้งสุดท้ายปิดงบฯ Q3/61 คัด 8 หุ้นเด็ดเน้นกำไร All-time high น่าเก็บ! นำโดย COM7,PSTC, ATP30,PYLON,CHG,MTC,BCH, AMANAH


เข้าโค้งสุดท้ายก่อนปิดงบไตรมาส 3/61 คาด SET มีแนวโน้มแกว่งไซด์เวย์อยู่ในกรอบ 1745-60 แต่ให้น้ำหนักทางขยับขึ้นเล็กน้อยจากอานิสงส์หุ้นกลุ่มพลังงาน-ปิโตรเคมีที่คาดว่าจะปรับตัวสูงขึ้นตามราคาน้ำมัน และน่าจะมีแรงซื้อเก็ง Window Dressing หุ้นเป็นรายตัวช่วยกระตุ้นตลาด

ดังนั้น“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์”จึงทำการรวบรวมหุ้นที่น่าสนใจและคาดว่าจะทำกำไรไตรมาส 3/61ออกมาได้อย่างโดดเด่น และมีแนวโน้ม All-time high(ทำจุดสูงสุดใหม่) ทั้งไตรมาส 3/61 และปี 2561 โดยครั้งนี้เป็นการรวบรวมข้อมูลจากบทวิเคราะห์หลักทรัพย์โบรกเกอร์ชั้นนำของไทย โดยกลุ่มหุ้นที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวมีประกอบ COM7,PSTC, ATP30,PYLON,CHG,MTC,BCH, AMANAH ซึ่งบทวิเคราะห์ได้ระบุไว้ดังนี้

บล.ทิสโก้ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท คอมเซเว่น จำกัด (มหาชน) หรือ COM7 คาดกำไรไตรมาส 3/61 สร้าง new high ต่อเนื่อง โดยคาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/61อยู่ที่ 221 ล้านบาท เติบโต 2.2% เทียบไตรมาสก่อนหน้า, 45.8%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

โดยคาดจะเห็นการเติบโตในทุกธุรกิจ 1) สินค้าไอที คาดรายได้อยู่ที่ 1,448 ล้านบาท โตทั้ง เทียบไตรมาสก่อนหน้า,เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนจาก 2) ธุรกิจโทรศัพท์เคลื่อนที่ คาดรายได้ 4,242 ล้านบาท โต 37%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนแต่ทรงตัว เทียบไตรมาสก่อนหน้า สำหรับอัตรากำไรขั้นต้น คาดอยู่ที่ 13.1% ใกล้เคียงกับ ไตรมาส 2/61 แต่ลดลงเทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนเนื่องจากบริษัทมีการระบายสินค้าก่อนที่จะสินค้าใหม่เปิดตัว ขณะที่ค่าใช้จ่ายการขายและบริหารต่อยอดขายทรงตัวอยู่ที่ 9.3%

สำหรับช่วงเวลาที่เหลือของปีนี้ คาดจะยังคงเห็นการเติบโตที่ดีของ COM7 จาก 1) ธุรกิจสินค้าไอที เริ่มกลับมาเติบโตได้ดีตามกระแส E-Sport, Gaming ซึ่งเริ่มเห็นได้ในไตรมาส3/61 เป็นต้นมา ช่วยผลักดันสินค้ากลุ่มไอทีของบริษัทให้เติบโต

2) สินค้าสมาร์ทโฟน ณ ครึ่งแรกปี 60 ยอดขายสมาร์ทโฟนไม่รวมไอโฟนอยู่ที่ 2,400 ล้านบาท ซึ่งคาดบริษัทจะสามารถทำได้ตามเป้าหมายที่ 6,000 ล้านบาท จาก แบรนด์ต่างๆ จะเปิดตัวสินค้าในครึ่งปีหลัง

3) COM7 เป็นอันดับ 1 ในการจำหน่ายสินค้าแบรนด์ Apple คิดเป็นสัดส่วนราว 40% ของรายได้ ล่าสุดมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ Iphone XR, Iphone XS , Iphone XS Max และ Apple Watch Series 4 ซึ่งคาดจะเริ่มจำหน่ายในไทยได้ในเดือนพฤศจิกายนนี้

4) การเปิดช่องทางออนไลน์ Bananashopping.com อย่างเป็นทางการในไตรมาส4/61 ซึ่งปัจจุบันมีรายได้เพียง 2% เท่านั้น 5) สาขาแฟรนไชส์ ปัจจุบันเปิดไปแล้ว 30 สาขา ซึ่งในปีนี้ตั้งเป้า 100 สาขา อย่างไรก็ตาม มองว่าช่องทางแฟรนไชส์ยังคงไม่เห็นผลต่อรายได้และกำไร เนื่องจากยังมีสาขาที่น้อยและเพิ่งเริ่มเท่านั้น

จากแผนธุรกิจของบริษัทปรับประมาณการผลประกอบการของสำหรับปี 2018-20F ขึ้น 9-12% โดยคาดปี 2018F จะมีกำไรสุทธิ 867 ล้านบาท (+42%เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) และปี 2019F กำไรสุทธิอยู่ที่ 1,029 ล้านบาท (+18.6% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) และยังคงแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ COM7 โดยราคาเป้าหมายสำหรับปี 2019F ของอยู่ที่ 24 บาท อิงจาก PER 28 เท่าปี 2019F ซึ่งสอดคล้องกับค่าเฉลี่ยการซื้อขาย PER ของกลุ่มค้าปลีก

 

บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท เพาเวอร์ โซลูชั่น เทคโนโลยี จำกัด (มหาชน) หรือ PSTC (BUY, TP 1.32) คาดกำไรไตรมาส 3/61 ทำ All-time high ได้ต่อเนื่อง โดยจาการรายงานกำไรสุทธิไตรมาส 2/61 ทำ All-time high อีกครั้งที่ 31.19 ล้านบาท In Line กับประมาณการ (คาด 30.8 ล้านบาท) เติบโตเด่น +167% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, +28% เทียบไตรมาสก่อนหน้าจากรายได้ส่วนของ BIGGAS เติบโตโดดเด่นและบริหารค่าใช้จ่ายดี

ส่งผลให้รายได้รวมทำจุดสูงสุดใหม่เป็นไตรมาสที่ 4 ติดต่อกัน (ตั้งแต่ไตรมาส 3/60) ที่ 837 ล้านบาท +271% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, +27% เทียบไตรมาสก่อนหน้า เพิ่มขึ้นจากรายได้ขายก๊าซของ BIGGAS รายงานที่ 517.6 ล้านบาท เติบโต +25% เทียบไตรมาสก่อนหน้า แต่รายได้จากการขายไฟฟ้าลดลงที่ 98 ล้านบาท -20% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, -12% เทียบไตรมาสก่อนหน้า  จากโรงไฟฟ้าชีวมวล WKE ปิดซ่อมแซมประจำปีราว 2 สัปดาห์

ในขณะที่ค่าใช้จ่าย SG&A เพิ่มขึ้นเล็กน้อยที่ระดับ 51.7 ล้านบาท +45% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน, +7% เทียบไตรมาสก่อนหน้า ส่งผลให้อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเหลือ 14.6% (ไตรมาส1/61 : 16.5%) และอัตรากำไรสุทธิคงที่ 3.7% (ไตรมาส1/61 : 3.7%) ส่วนปริมาณ Backlog ธุรกิจติดตั้งระบบไฟฟ้า อยู่ที่ 400 ล้านบาท และเตรียมประมูลงานเพิ่มอีก 1 พันล้านบาท

 

บล.ฟินันเซีย ไซรัส ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท เอทีพี 30 จำกัด (มหาชน) หรือ ATP30 แนะนำซื้อราคาเป้าหมาย 2.30 บาท คาดกำไรไตรมาส 3/61 โตทั้ง เทียบไตรมาสก่อนหน้า, เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนและทำจุดสูงสุดใหม่ จาก High Season ที่มีวันหยุดไม่มาก และการเริ่มให้บริการลูกค้าใหม่อย่าง Mega Bangna ด้วยรถ Shuttle Bus 6 คัน และ SPRC ด้วยรถตู้ 10 คัน บวกกับอัตรากำไรขั้นต้นที่จะเร่งขึ้นจาก Economy of Scale

คาดกำไรสุทธิปี 2018 +54% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 40 ล้านบาท และ +16% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อนเป็น 47 ล้านบาท ในปี 2019

ลูกค้าใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ แต่ PE กลับอ่อนตัวลง โดย PE2018 อยู่ที่ 24 เท่า และจะลดลงเหลือ 21 เท่าในปี 2019 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยตั้งแต่เข้าตลาดที่ 32 เท่า

 

บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท ไพลอน จำกัด (มหาชน) หรือ PYLON (TP18F 9.2*) คาดกำไรสุทธิ ไตรมาส 3/61 จะเติบโตเด่น เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน และ เทียบไตรมาสก่อนหน้าจากงานก่อสร้างรถไฟฟ้า กอปรกับงานส่วนใหญ่เป็นงานขนาดใหญ่ ซึ่งมีอัตรากำไรขึ้นต้นอยู่ในระดับสูง โดยปัจจุบัน Backlog คาดอยู่ในระดับ 1.1 พันล้านบาท  Secure รายได้ไปแล้วจนถึงสิ้นปี 2018F

Valuation: คาดว่าราคาหุ้นสะท้อนกำไรที่ชะลอตัว เทียบไตรมาสก่อนหน้าไปแล้ว มองเป็นจังหวะเข้าลงทุนที่ดี จาก ไตรมาส3/61 เติบโตโดดเด่น ขณะที่ PER18F ซื้อขายที่ระดับ 19.4 เท่า

Catalyst: เริ่มก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีชมพู-เหลืองวันนี้ + คาดควบคุมอัตรากำไรได้ดี หนุนผลประกอบการครึ่งปีหลังโดดเด่น หนุนกำไรปี18F ทำ All-time high ใหม่ เติบโต +153% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน

 

บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG (TP19F 2.84*) แนวโน้มผลประกอบการดีทั้งระยะสั้น กลาง ยาว โดยระยะกลางยาวจะได้ประโยชน์จาก EEC ซึ่ง CHG มีรพ.อยู่ในพื้นที่เป็นหลัก และตั้งเป้าหมาย 3 ปี ขยายฐานลูกค้าต่างชาติที่ 10%  และมีแผนเปิดเพิ่มรพ.ต่อเนื่อง ขณะที่ระยะสั้นคาดกำไร ไตรมาส 3/61 จะเป็น All time high จากจำนวนผู้ป่วยเงินสดและประกันสังคมเพิ่มขึ้น

Valuation: ราคาซื้อขายที่ PER19F 35 เท่า แต่มีโอกาสปรับประมาณการกำไรขึ้น ทำให้ระดับ PER จะใกล้เคียงกลุ่มฯที่ 33x แต่ CHG มีแนวโน้มกำไรเติบโตช่วง 2018-19F เด่นเป็นลำดับต้นๆในกลุ่ม

Catalyst: Nomura ปรับ TP ขึ้นจาก 2.85 บาทเป็น 3.1 บาท + มีเครือข่าย รพ.ในภาคตะวันออก ทำให้มีโอกาสได้ประโยชน์จากการขยายตัวของภาคอุตสาหกรรมตามนโยบาย EEC + เข้าสู่ช่วงฤดูกาล ไตรมาส 3/61 จากฤดูฝนซึ่งปีนี้มีฝนมาก หนุนจำนวนผู้ป่วยเพิ่ม

 

บล.เอเชีย เวลท์ ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท เมืองไทย แคปปิตอล จำกัด (มหาชน) หรือ MTC คาดกำไรสุทธิไตรมาส 3/61 ะทำนิวไฮรายไตรมาสอีกครั้งที่ 973 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6.7% เทียบไตรมาสก่อนหน้า และ 49.6% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน หนุนโดยสินเชื่อที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งถึง 9.5% เทียบไตรมาสก่อนหน้า และ 40.4% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นไปตามกลยุทธ์การขยายสาขา

โดยคาดจำนวนสาขาของบริษัท ณ สิ้นไตรมาส 3/61 จะอยู่ที่ราว 3,100 สาขา เพิ่มขึ้นจากไตรมาส 2/61 ที่ 2,889 สาขา นอกเหนือจากนั้นแล้ว แนวโน้มของ MTC ดูชัดเจนขึ้น เนื่องจากความเสี่ยงทางด้านกฎหมาย โดยเฉพาะประเด็นดอกเบี้ยเริ่มลดลง หลังจากกระทรวงการคลังอนุญาตให้ผู้ประกอบการพิโกไฟแนนซ์สามารถให้บริการสินเชื่อจำนำทะเบียนรถได้ ด้วยอัตราดอกเบี้ยสูงถึง 36% ต่อปี ซึ่งมองว่าจะช่วยคลายความกังวลนักลงทุน เนื่องจากระดับอัตราดอกเบี้ยดังกล่าวอาจถูกใช้เป็น benchmark สำหรับผู้ประกอบการสินเชื่อจำนำทะเบียนรายอื่นๆ หรือสำหรับอัตราดอกเบี้ยที่จะประกาศใช้ใน พ.ร.บ. นอนแบงก์ ประมาณการ EPS จะเติบโต 42.3% ในปี 2561 และ 32.3% ในปี 2562

Price Pattern ของ MTC ยังบ่งบอกถึงการทำ New High อีกด้วย โดยมีเป้าหมายแรกเพื่อทดสอบ High เดิมที่ 44.75 บาท และมีเป้าหมายแรกของการทำ New High อยู่ที่ 48.25 บาท ตามลำดับ

 

บล.บัวหลวง ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท บางกอก เชน ฮอสปิทอล จำกัด (มหาชน) หรือ BCH ผลประกอบการครึ่งหลังของปี มีปัจจัยบวกจากไฮซีซั่นและการรักษากรณีหนักๆ ประมาณการใหม่คาดกำไรปี 2561 เติบโต 24% ซึ่งสูงที่สุดในกลุ่มการแพทย์ ขณะเดียวกันยังคาดกำไรครึ่งหลังของปี 2561 เติบโตแข็งแกร่ง 16% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และ 44% เทียบกับในช่วงครึ่งปีแรก

โดยผลประกอบการไตรมาส 3/61 มีแนวโน้มทำสถิติสูงสุดใหม่ เนื่องจาก BCH ได้ลงนาม MOU สำหรับการตรวจสุขภาพประจำปีให้กับบุคลากรในกระทรวงศึกษาธิการเป็นเวลา 15 เดือน โดยจะเริ่มในเดือน ต.ค. 2561 ภายใต้สมมติฐานว่าค่าบริการตรวจสุขภาพดังกล่าวอยู่ที่ 600 บาท/หัว และมีบุลคลากรทั้งหมด 9 แสนคน ในเบื้องต้นคาดปัจจัยดังกล่าวน่าจะสร้างอัพไซด์มากกว่าประมาณการในปัจจุบันได้อีกราว 3%

สำหรับในปี2562 คาดกำไรจะเติบโต 15% หนุนโดยรายได้การแพทย์สูงขึ้น โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ รามคำแหง จะเปิดเดือนต.ค. 2561 ทำให้กำไรดีขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากโรงพยาบาลแห่งนี้มาแทนโรงพยาบาลการุญเวช สุขาภิบาล 3 ที่มีขนาดเล็กกว่า ในขณะที่บริษัทไม่มีต้นทุนการสร้างโรงพยาบาลใหม่ในปี 2562

นอกจากนี้ คาดรายได้ผู้ป่วยประกันสังคมจะฟื้นตัว เนื่องจากจำนวนสมาชิกน่าจะเพิ่มขึ้นจาก 7.83 แสนคน ณ สิ้นเดือนมิ.ย. เป็น 8.14 แสนคนในสิ้นปี 2561 ทั้งนี้ บริษัทมีแผนเปิดโรงพยาบาลสร้างใหม่จำนวน 3 แห่ง ในปี 2563 ได้แก่ โรงพยาบาลสระแก้ว มีเตียงผู้ป่วยใน 115 เตียง ,ปราจีนบุรี 116 เตียง และเวียนเทียน เฟสแรก 110 เตียง

ด้านบล.ยูโอบีเคย์เฮียน ให้อัพไซด์ราคาพื้นฐานสูงถึง 21.50 บาท

 

บล.โนมูระ พัฒนสิน ระบุในบทวิเคราะห์ว่า บริษัท อะมานะฮ์ ลิสซิ่ง จำกัด (มหาชน) หรือ AMANAH  (BUY,TP 3.26 ) คาดว่าหลังจากได้รับเงินเพิ่มทุนแล้วจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องของธนาคาร  และสามารถปล่อยสินเชื่อใหม่ได้คล่องตัวมาก หนุนผลประกอบการฟื้นตัวในทิศทางบวก ในขณะที่ปัจจุบัน IBANK ถือหุ้น AMANAH อยู่ 48.9% เป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1

ณ สิ้น ไตรมาส 2/61 ธนาคารอิสลามมีวงเงินกู้ให้ AMANAH ที่ 2 พันล้านบาท ซึ่งคาดว่าใน ไตรมาส3/61 จะมีการขยายวงเงินกู้ขึ้นสู่ระดับ 2.3-3.0 พันล้านบาท ที่อัตราดอกเบี้ยใกล้เคียงเดิมเฉลี่ย 4.0% ปลดล็อคความกังวลทิศทางดอกเบี้ยขาขึ้น และแนวโน้มต้นทุนการเงินเพิ่ม วงเงินกู้จาก IBANK เต็ม (อัตราดอกเบี้ยกู้จากธนาคารพาณิชย์อื่นเฉลี่ย 6-7% สำหรับบริษัทขนาดเล็ก

คาดกำไรปกติ ไตรมาส 3/61 เติบโตทั้ง เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน (3Q17 กำไรปกติ 12 ล้านบาท) และ เทียบไตรมาสก่อนหน้าจากปัจจัยบวก i) ยอดสินเชื่อใหม่ใน ไตรมาส3/61 คาดเติบโตในอัตราเร่งสูงถึง +380 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นกว่า +41% เทียบไตรมาสก่อนหน้า(ไตรมาส2/61: ยอดสินเชื่อใหม่ 270 ล้านบาท) ii) Loan yield ที่ระดับ 20% iii) คาดตั้งสำรองหนี้สงสัยจะสูญลดลง เทียบไตรมาสก่อนหน้าiv) NPL Ratio คาดลดลงจากฐานสินเชื่อใหม่ที่เพิ่มขึ้น

แนะนำซื้อ มูลค่าพื้นฐาน 2018F ที่ 3.26 เข้าสู่ Growth stage เต็มกำลัง คาดกำไรปี18F โตแรงถึง +244% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน ทำ All-time high ตั้งแต่เข้าตลาดฯ ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายที่เพียง PER18F 11.8x

*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน

Back to top button