SELIC วิ่งฉิว 3 วันติด เด้งต่อ 4% ปักธงรายได้ปี 62 โตทะลักแตะ 1.5 พันลบ.

SELIC วิ่งฉิว 3 วันติด เด้งต่อ 4% ปักธงรายได้ปี 62 โตทะลักแตะ 1.5 พันลบ. โดย ณ เวลา 16.05 น. ราคาอยู่ที่ระดับ 2.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ 4.17% สูงสุดที่ระดับ 2.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 2.44 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 433 แสนบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท ซีลิค คอร์พ จำกัด (มหาชน) หรือ SELIC ล่าสุด ณ เวลา 16.05 น. อยู่ที่ระดับ 2.50 บาท เพิ่มขึ้น 0.10 บาท หรือ 4.17% สูงสุดที่ระดับ 2.50 บาท ต่ำสุดที่ระดับ 2.44 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 433 แสนบาท

ทั้งนี้ ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่องติดต่อกันเป็นวันที่ 3 นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 2.34 บาท เมื่อวันที่ 8 ม.ค.62

นายเอก สุวัฒนพิมพ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SELIC เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทได้เข้าซื้อกิจการกลุ่ม PMC เสร็จสมบูรณ์อย่างเป็นทางการแล้ว โดยได้เข้าไปถือหุ้นสามัญทั้งหมดใน บริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรีลส์ จำกัด (PMCT) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสติกเกอร์ในประเทศไทยและต่างประเทศ โดยใช้กาว กระดาษ และฟิล์ม เป็นวัตถุดิบหลัก และถือหุ้นสามัญทั้งหมดใน บริษัท พีเอ็มซี เลเบิล แมททีเรีลส์ พีทีอี ลิมิเตด (PMCS) ผู้จัดจำหน่ายสติกเกอร์ที่ผลิตจากประเทศไทยไปในประเทศในสิงคโปร์และต่างประเทศ ซึ่งจะทำให้รับรู้ผลการดำเนินงานของ PMC เข้ามาตั้งแต่เดือนม.ค.62 ทำให้วางเป้าหมายรายได้ในปี 62 อยู่ที่ระดับ 1.5 พันล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 61 ที่คาดว่าจะทำได้ระดับ 590-600 ล้านบาท

“การเข้าไปซื้อครั้งนี้ เรามองว่าเป็นโอกาสที่ดี และ PMC จะเป็นตัวที่เสริมกันและกัน เป็นโอกาสในการเพิ่มรายได้ เพิ่มกำไร ทำให้มียอดขายและกำไรของซีลิคและกลุ่มกิจการเพิ่มขึ้น และเพิ่มโอกาสในการต่อยอดพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์กาวและผลิตภัณฑ์สติกเกอร์ เช่น กาวชนิด UV-curable กาวประเภท PU based laminating สติกเกอร์ทนความร้อน สติกเกอร์ประเภท removable เป็นต้น รวมถึงช่วยเพิ่มการใช้กำลังการผลิต (Utilization rate) ของบริษัทฯ

สำหรับผลิตภัณฑ์กาวน้ำ (Water-based adhesive) และผลิตภัณฑ์กาวหลอมร้อน (Hot Melt Adhesive) และช่วยให้ขายกาวไปยังกลุ่มอุตสาหกรรมต่าง ๆ ได้กว้างขึ้นผ่านการผลิตฉลาก และเป็นการเพิ่มช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าให้กับผลิตภัณฑ์สติกเกอร์ รวมถึงช่วยให้เกิดการต่อยอดพัฒนาเป็นผลิตภัณฑ์ใหม่ทั้งในกลุ่มผลิตภัณฑ์กาวและผลิตภัณฑ์สติกเกอร์” นายเอก กล่าว

นอกจากนี้ นายเอก กล่าวว่า หลังจากการเข้าซื้อกิจการกลุ่ม PMC แล้วเสร็จแล้ว ส่งผลให้แนวโน้มรายได้ของบริษัทจะเติบโตเท่าตัว หรือกว่า 100% ตั้งแต่ไตรมาส 1/62 รวมถึงทิศทางของกำไรสุทธิคาดว่าจะทำสถิติสูงสุดใหม่ (New High) ในทุกไตรมาสด้วย

อย่างไรก็ตามดีลการเข้าซื้อกิจการกลุ่ม PMC ในครั้งนี้ มูลค่าไม่เกิน 1.05 พันล้านบาท ซึ่งบริษัทได้ใช้เงินจากกระแสเงินสด 150 ล้านบาท และเงินกู้จากสถาบันการเงินไม่เกิน 900 ล้านบาท โดยอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ MLR -0.50% ต่อปี ซึ่งเป็นอัตราดอกเบี้ยแบบลอยตัว ระยะเวลาการชำระคืนหนี้ 8 ปี โดยที่หลังจากกู้เงินมาแล้วทำให้อัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) เพิ่มเป็นเกือบ 3 เท่า จากปีก่อนอยู่ที่ 0.34 เท่า โดยในช่วง 1-2 ปีนี้บริษัทจะทยอยชำระคืนหนี้เพื่อทำให้ D/E ลดลงไปที่ระดับ 2 เท่า ซึ่งเป็นระดับที่มองว่าเหมาะสม และหากมีหนี้สินลดลงบริษัทจะเริ่มมองหาในการลงทุนใหม่ต่อไปในช่วงอีก 1-2 ปีจากนี้

“เราไม่มีความกังวลเกี่ยวกับภาระหนี้สินที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเราเชื่อมั่นว่าเราสามารถชำระคืนได้ตามกำหนด และการซื้อ PMC เข้ามาเป็นการหนุนผลการดำเนินงานให้เติบโตต่อเนื่อง ทำให้เรามีรายได้และกำไรที่สูงขึ้น แม้ว่าเราจะมีภาระดอกเบี้ยจ่ายเข้ามาอีกปีละ 40 ล้านบาท แต่การชำระหนี้คืนเราก็มีความพร้อมในส่วนนี้” นายเอก กล่าว

นอกจากนี้บริษัทยังมองถึงปัจจัยหนุนในประเทศปีนี้เกี่ยวกับการเลือกตั้งที่จะมีการใช้ผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับกาวมากขึ้น แม้ว่าการเลือกตั้งจะถูกเลื่อนไปจากกำหนดเดิมในเดือน ก.พ. แต่ก็เชื่อว่าไม่กระทบกับบริษัทอย่างแน่นอน เพราะการเลือกตั้งจะเกิดขึ้นอย่างแน่นอน ส่วนสงครามการค้ามองว่าอาจจะได้รับผลกระทบในระยะสั้นช่วงการย้ายฐานการผลิต แต่ในระยะยาวเมื่อการย้ายฐานการผลิตเสร็จสิ้นแล้ว กิจกรรมการผลิตและส่งออกต่าง ๆ จะกลับมาสู่ภาวะปกติ แต่ปัจจัยที่บริษัทกังวล คือ อัตราแลกเปลี่ยนที่มีความผันผวน ซึ่งอาจจะมีผลกระทบต่อผลการดำเนินงานของบริษัทบ้าง เพราะมีสัดสวนรายได้จากการส่งออกอยู่ที่ 30-40% ขณะที่อีก 60-70% เป็นสัดส่วนรายได้ในประเทศ

Back to top button