
ดาวโจนส์ปิดร่วง 119 จุด ตลาดวิตกผลประกอบการเอกชน-เฟดขึ้นดบ.
ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (23 ก.ค.) ซึ่งเป็นการปรับตัวลงติดต่อกัน 3 วันทำการ เนื่องจากนักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มที่ซบเซาของภาคธุรกิจ หลังจากบริษัทจดทะเบียนหลายแห่งในสหรัฐเปิดเผยผลประกอบการที่ย่ำแย่ รวมถึงบริษัทแคทเทอร์พิลลาร์ นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความวิตกกังวลที่ว่า ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ หลังจากสหรัฐเปิดเผยจำนวนคนว่างงานรายสัปดาห์ลดลงแตะระดับต่ำสุดในรอบ 42 ปี
ดาวโจนส์ปิดร่วง 119 จุด วิตกผลประกอบการเอกชน,เฟดขึ้นดบ.
สำนักข่าวอินโฟเควสท์รายงานว่า ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดวานนี้ (23 ก.ค.) ที่ 17,731.92 จุด ร่วงลง 119.12 จุด หรือ -0.67%, ดัชนี NASDAQ ปิดที่ 5,146.41 จุด ลดลง 25.36 จุด หรือ -0.49% และดัชนี S&P500 ปิดที่ 2,102.15 จุด ลดลง 12.00 จุด หรือ -0.57%
ตลาดหุ้นนิวยอร์กยังคงได้รับแรงกดดันจากผลประกอบการที่ย่ำแย่ของบริษัทจดทะเบียนในสหรัฐ โดยล่าสุดบริษัทแคทเทอร์พิลลาร์ ซึ่งเป็นผู้ผลิตอุปกรณ์ที่ใช้ในงานอุตสหกรรม เปิดเผยกำไรต่อหุ้นในไตรมาส 2 ปีนี้อยู่ที่ 1.16 ดอลลาร์ ลดลงจากไตรมาส 2 ปีที่แล้วที่ระดับ 1.57 ดอลลาร์ นอกจากนี้ ทางบริษัทได้ปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการในปี 2558 ซึ่งข้อมูลดังกล่าวได้ฉุดหุ้นแคทเทอร์พิลลาร์ปิดร่วงลง 3.61%
ขณะที่บริษัทอเมริกัน เอ็กซ์เพรส เปิดเผยรายได้สุทธิไตรมาส 2 ปีนี้อยู่ที่ 1.47 พันล้านดอลลาร์ ลดลงจากไตรมาส 2 ปีที่แล้วที่ระดับ 1.53 พันล้านดอลลาร์ ส่งผลให้ราคาหุ้นอเมริกัน เอ็กซ์เพรสปิดร่วงลง 2.51%
ด้านบริษัทแมคโดนัลด์เปิดเผยยอดขายทั่วโลกลดลง 0.7% ย่ำแย่กว่าที่คาดการณ์ว่าลดลง 0.4% ส่วนยอดขายของร้านในสหรัฐที่เปิดมานานกว่า 13 เดือน ลดลง 2% เทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าลดลง 1.5% ส่วนหุ้น 3M ดิ่งลง 2.80% หลังจากบริษัทเปิดเผยยอดขายในไตรมาส 2 ปีนี้ลดลง 5.5% สู่ระดับ 7.7 พันล้านดอลลาร์
นอกจากนี้ ตลาดยังได้รับแรงกดดันจากความกังวลที่ว่า เฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเร็วๆนี้ หลังจากกระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่า จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ซึ่งสิ้นสุดวันที่ 18 ก.ค. ลดลง 26,000 ราย สู่ระดับ 255,000 ราย ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดนับตั้งแต่สัปดาห์ของวันที่ 24 พ.ย. 1973
ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ระดับสูงของเฟด รวมถึงนางเจเน็ต เยลเลน ประธานเฟด และนายเจมส์ บูลลาร์ด ประธานเฟด สาขาเซนต์หลุยส์ ได้ส่งสัญญาณมาโดยตลอดว่า เฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้เมื่อพิจารณาจากภาวะเศรษฐกิจและการจ้างงานที่มีแนวโน้มแข็งแกร่งขึ้น ขณะที่นักลงทุนจับตาดูข้อมูลเศรษฐกิจที่สำคัญของสหรัฐในวันนี้ รวมถึงดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเบื้องต้นเดือนก.ค. และยอดขายบ้านใหม่เดือนมิ.ย.