CRC จ่อประมูลซื้อ “เทสโก้” รอบ 2 ฟากซีอีโอลั่นไม่กระทบพื้นฐานธุรกิจ ชี้เงินทุนแข็งแกร่ง

CRC จ่อประมูลซื้อ "เทสโก้" รอบ 2 ฟากซีอีโอลั่นไม่กระทบพื้นฐานธุรกิจ ชี้เงินทุนแข็งแกร่ง


นายทศ จิราธิวัฒน์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ CRC เปิดเผยว่า บริษัทอยู่ระหว่างพิจารณาเข้าร่วมประมูลซื้อกิจการค้าปลีก Tesco Lotus ในไทยและมาเลเซียจากกลุ่ม Tesco ในรอบที่ 2 โดยผู้ขายกำหนดให้ที่ผู้สนใจยื่นข้อเสนอภายในสิ้นเดือน ก.พ.นี้

ขณะที่ นายญนน์ โภคทรัพย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร CRC กล่าวว่า ยังไม่ขอเปิดเผยรายละเอียดเกี่ยวกับเข้าร่วมประมูลซื้อกิจการค้าปลีก Tesco Lotus ในไทยและมาเลเซีย เพราะเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อน แต่อยากตอกย้ำว่าตามแผนยุทธศาสตร์ระยะยาว จะมีหรือไม่มีกิจการค้าปลีก Tesco Lotus แต่การประกอบธุรกิจและเป้าหมายของ CRC ก็ยังจะเติบโตได้ตามแผนในปีนี้

สำหรับวันนี้ CRC นำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ฯ (SET) เป็นวันแรก ราคาเปิดอยู่ที่ 42.00 บาทเท่ากับราคาเสอขายหุ้นต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก (IPO) นายญนน์ กล่าวว่า มีความพอใจกับราคาเปิดการซื้อขายของหุ้น CRC ในวันนี้ แม้ว่าช่วงนี้ภาพรวมเศรษฐกิจจะยังไม่ค่อยสดใส แต่ยังมีนักลงทุนตอบรับกับหุ้น CRC ในทิศทางที่ดี

“ภายหลังจากบริษัทนำหุ้นเข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แล้ว ทำให้ฐานเงินทุนที่ใช้ขยายกิจการในอนาคตมีความแข็งแกร่ง และเพิ่มความสะดวกการร่วมมือทางธุรกิจกับพันธมิตรทั้งในไทยและต่างประเทศ” นายณนน์ กล่าว

ทั้งนี้ บริษัทวางเป้าหมายระยะยาว 5 ปีรายได้จะเติบโตเฉลี่ย 10-12% ต่อปี ซึ่งโดยปกติแล้วรายได้ของ CRC ในแต่ละปีจะเติบโตมากกว่า GDP ประมาณ 1.5-2 เท่า อย่างไรก็ตาม ยอมรับว่าช่วงนี้ภาพรวมกำลังซื้อชะลอตัวจากผลกระทบการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ทำให้กลุ่มนักท่องเที่ยวชาวจีนลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่บริษัทหันมาใช้กลยุทธ์กระตุ้นยอดขายสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น โดยปัจจุบันยอดขายสินค้าบริษัทพึ่งพากลุ่มนักท่องเที่ยว 5-6% ดังนั้นช่วงนี้ยังเป็นผลกระทบจึงอยู่ในวงจำกัด แต่หากสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังยืดเยื้อ และมีความเสี่ยงเศรษฐกิจไทยปีนี้อาจเติบโตต่ำกว่า 2% ก็จะมีผลกระทบต่อรายได้บริษัทเช่นกัน

“โดยปกติแล้วธุรกิจค้าปลีกของไทยจะวิ่งแซง GDP แล้ว แต่ปัจจุบันยังคงโตใกล้เคียงกับ GDP ซึ่งก็มีความเป็นกังวลเช่นกันว่าผลกระทบไวรัสโควิด-19 จะลากยาว มองเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นและควบคุมไม่ได้ แต่ก็มีความเชื่อมั่นศักยภาพพื้นฐานเศรษฐกิจประเทศไทยยังมีความแข็งแกร่ง ขณะนี้รัฐบาลและผู้ประกอบการยังเดินหน้าช่วยกันเต็มที่ ก็คาดหวังว่าสถานการณ์คลี่คลายได้โดยเร็ว” นายญนน์ กล่าว

ขณะที่ในปี 63 นี้บริษัทตั้งงบลงทุนราว 3-5 หมื่นล้านบาท โดยจะกระจายการลงทุนทั้งธุรกิจในไทย เวียดนาม และอิตาลี อาทิ ขยายสาขาใหม่และปรับปรุงสาขาเดิม พัฒนาเทคโนโลยีรองรับช่องทางการขายสินค้าผ่านแพลตฟอร์มออนไลน์ทั้งไทยและต่างประเทศ

นอกจากนี้ จะเดินหน้าเพิ่มความแข็งแกร่งใน 3 กลุ่มธุรกิจหลัก ได้แก่ กลุ่มแฟชั่น ซึ่งมุ่งเน้นการขายสินค้าเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับ ภายใต้แบรนด์ต่าง ๆ อาทิ ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ เซ็นเตอร์ ซูเปอร์สปอร์ต และ Central Marketing Group (CMG)

รวมถึงกลุ่มฮาร์ดไลน์ ซึ่งเน้นการขายสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ สินค้าตกแต่งและปรับปรุงบ้าน โดยประกอบไปด้วยแบรนด์อย่าง เพาเวอร์บาย ไทวัสดุ บ้าน แอนด์ บียอนด์ และ กลุ่มฟู้ด ซึ่งเน้นการขายสินค้าอุปโภคบริโภคและสินค้าทั่วไป โดยประกอบไปด้วยแบรนด์อย่าง ท็อปส์ เซ็นทรัล ฟู้ด ฮอลล์ และแฟมิลี่มาร์ท

ทั้งนี้ กลุ่ม CRC เป็นผู้ดำเนินธุรกิจค้าปลีกสินค้าหลากหลายประเภทผ่านรูปแบบและช่องทางที่หลากหลาย (Multi-format and Multi-category) และเป็นผู้บุกเบิกธุรกิจค้าปลีกในรูปแบบ Omni-channel ในประเทศไทย กลุ่ม CRC เป็นผู้ประกอบการค้าปลีกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศไทย เป็นอันดับสามของประเทศเวียดนาม และเป็นผู้ประกอบการห้างสรรพสินค้าที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในประเทศอิตาลี โดยมีร้านค้าในรูปแบบต่าง ๆ ในประเทศไทยจำนวน 1,922 ร้านค้า ครอบคลุม 51 จังหวัด และ 133 ร้านค้าใน 40 จังหวัดของประเทศเวียดนาม และ 9 ห้างสรรพสินค้า ใน 8 เมืองของประเทศอิตาลี

อนึ่ง CRC เป็นหุ้นไอพีโอของกลุ่มธุรกิจค้าปลีกที่มีขนาดใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 2 ของโลก โดยมีมูลค่าเสนอขายรวม 78,124 ล้านบาท รวมมูลค่าหุ้นที่เสนอขายให้แก่ผู้ถือหุ้นของ ROBINS ที่ตอบรับคำเสนอซื้อหลักทรัพย์ และการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน โดยมีมูลค่าหลักทรัพย์ ณ ราคา IPO ที่ประมาณ 253,302 ล้านบาท (ไม่รวมการจัดสรรหุ้นส่วนเกิน) ส่งผลให้ CRC จะเป็นหุ้นที่มีขนาดใหญ่ที่สุด 15 ลำดับแรกของตลาดหลักทรัพย์ฯ รวมทั้งจะได้รับการจัดให้เข้าไปรวมอยู่ในดัชนี SET50 และ MSCI Global Standard Indexes ด้วยเกณฑ์ Fast-track

“การไอพีโอที่ผ่านมาทำให้ CRC มีความพร้อมทุกเมื่อสำหรับการแสวงหาโอกาสในการขยายธุรกิจค้าปลีกในรูปแบบ Inorganic หากมีโอกาสควบรวมกิจการหรือเข้าซื้อกิจการที่น่าสนใจทั้งในประเทศและต่างประเทศอย่างต่อเนื่อง  ภายใต้การลงทุนอย่างรอบคอบและมีวินัย เพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจค้าปลีกไทย ส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศโดยรวม รวมทั้งสร้างผลตอบแทนที่น่าพึงพอใจให้กับนักลงทุน” นายญนน์ กล่าว

Back to top button