“เมย์แบงก์” มองเป้าดัชนีปี 64 แตะ 1,600 เคาะ 4 หุ้นน่า “ซื้อ” มองผลงานโตแกร่ง

“เมย์แบงก์” มองเป้าดัชนีปี 64 แตะ 1,600 เคาะ 4 หุ้นน่า "ซื้อ” มองผลงานโตแกร่ง


นายวิจิตร อารยะพิศิษฐ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายวิจัย บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) (MBKET) ประเมินว่าปี 63 ตลาดหุ้นเผชิญกับวิกฤติเศรษฐกิจครั้งใหญ่คือ การแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบอย่างรุนแรงต่อแทบทุกกลุ่มอุตสาหกรรม ทำให้กำไรของบริษัทจดทะเบียนปรับตัวลดลงอย่างมีนัยสำคัญ แต่อย่างไรก็ดี พบว่าหลายบริษัทสามารถพลิกวิกฤติเป็นโอกาสด้วยการพยายามปรับลดค่าใช้จ่ายต่างๆ เพื่อช่วยให้ธุรกิจผ่านพ้นช่วงเวลาที่ยากลำบากมาได้

นอกจากนี้ปีที่ผ่านมายังทำให้เราได้เห็นถึงความก้าวหน้าทางการแพทย์ผ่านพัฒนาการเชิงบวกของวัคซีนต้านโควิด-19 ที่ช่วยเพิ่มความหวังต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงถัดไป ผสานกับการดำเนินนโยบายทางการเงินและการคลังจากธนาคารกลางและภาครัฐฯทั่วโลกเป็นปัจจัยที่ช่วยฟื้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม ด้วยปัจจัยต่างๆ ล้วนขับเคลื่อนตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างโดดเด่นในช่วงปลายไตรมาส 4/63 และคาดแรงหนุนบวกดังกล่าวจะช่วยกระตุ้นกระแสเงินทุนไหลเข้าขับเคลื่อน SET แกว่งขึ้นต่อในช่วงไตรมาส 1/64

ทั้งนี้ คาดว่าดัชนีตลาดหลักทรัพย์ (SET Index) ในไตรมาส 1/64 จะแกว่งขึ้นขานรับการฟื้นตัวของภาพเศรษฐกิจทั้งในและต่างประเทศ ด้วยแรงขับเคลื่อนจากนโยบายการคลังที่คาดจะช่วยกระตุ้นการบริโภค รวมทั้งหนุนความเชื่อมั่นต่อการลงทุนของภาคเอกชนมากยิ่งขึ้น อีกทั้งภาคส่งออกที่มีแนวโน้มขยายตัวตามการฟื้นตัวของประเทศคู่ค้าสำคัญ ผสานการคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับต่ำช่วยผ่อนคลายเรื่องต้นทุน

ด้วยปัจจัยบวกเหล่านี้คาดจะเป็นส่วนที่ช่วยเพิ่ม Upside Risk ต่อการปรับประมาณการกำไรของบริษัทจดทะเบียนขึ้นในช่วงถัดไป หนุนกระแสเงินทุนต่างชาติยังมีโอกาสไหลเข้าตลาดหุ้นไทยต่อเนื่อง โดยประเมินเป้าหมาย SET สิ้นปี 64 ที่ 1,600 จุด เน้นกลุ่มปิโตรเคมี, ธนาคาร, อสังหาฯ และไฟแนนซ์

สำหรับหุ้นเด่นในไตรมาสนี้ เลือก SCC, LH, TMB, SINGER

 

SCC เป้าหมาย 430 บาท

– เข้าสู่เฟสของการเติบโต คือ 1.) ธุรกิจปิโตรเคมี กำลังการผลิตจะเพิ่ม 70% เน้น HVA และ นวัตกรรม  2.) ธุรกิจผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เน้นเซอร์วิส และ โซลูชั่นไปค้าปลีก 3.) ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจร ตั้งเป้าจะโตเป็น 2 เท่าใน 5 ปี

– กำไรไตรมาส 4/63 จะยังเด่น แรงหนุนสเปรดปิโตรเคมี แม้ว่า MOC จะปิดซ่อมบำรุง 45 วัน

– ขยายการลงทุนต่อเนื่อง ปันผลดี 4% แนะนำ ซื้อ เป้าหมาย 430 บาท

 

LH เป้าหมาย 9.5 บาท

– หนึ่งในหุ้นขนาดใหญ่ที่ laggard มาแล้ว 2 ปี ซื้อขายที่ -1SD ของ L-T mean PE

– ประเมินกำไรโต +24% ปี 64 และ +11% ปี 65 ผสานอัตราเงินปันผลมากกว่า 8%

– แนวราบยังคงเป็นที่นิยม ธุรกิจที่เกี่ยวข้องเช่น โรงแรม อพาร์ทเมนท์  ห้างสรรพสินค้าและธนาคาร ทยอยฟื้นตัวหลังการเปิดเมือง แผนขายสินทรัพย์เพื่อรับรู้กำไรพิเศษมีต่อเนื่อง

 

TMB เป้าหมาย 1.4 บาท

– ไตรมาส 3/63 GDP ที่ 6.4% จากปีก่อน ฟื้นจาก -12.1% ในไตรมาส 2/63 และคาด 2564 +5%

– คุณภาพสินทรัพย์ของ TMB ดีขึ้นในไตรมาส 3/63 การปล่อยสินเชื่อ SME ซึ่งเป็นกลุ่มที่เปราะบางที่สุดยังอยู่ในระดับต่ำที่ 7% ของสินเชื่อรวม

– กลยุทธ์เน้นคุณภาพสินทรัพย์และการเพิ่มประสิทธิภาพงบดุลมากกว่าการขยายพอร์ตสินเชื่อ คาดกำไรปี 2564 +19% จากสำรองที่ลดลงและค่าธรรมเนียมที่มากขึ้น

 

SINGER เป้าหมาย 21.0 บาท

– หุ้นจิ๋วแต่แจ๋วที่ยังอยู่ใน Growth stage คาดกำไร All time high ได้ต่อในปี 2564

– พอร์ตสินเชื่อยังเติบโตได้ไตรมาส-ไตรมาส ขณะที่ภาพรวม NPL ยังลดลงต่อจากปีก่อน อีกทั้งมีแผนนำบ.ลูก ธุรกิจเงินทุนเข้าจดทะเบียนปี 2565 ปลดล็อคมูลค่า

– Valuation ถูกกว่ากลุ่ม (PE64 15 เท่า Vs กลุ่มที่ 18-20 เท่า) ขณะที่การเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS) +20% จากปีก่อน สูงกว่ากลุ่มที่ +10-15% จากปีก่อน

Back to top button